เจาะข่าวลึก!!ในเขมร โดย อ. สอาด จันทร์ดี
หน้า 1 จาก 1
เจาะข่าวลึก!!ในเขมร โดย อ. สอาด จันทร์ดี
ผมแอบเข้าไปในดินแดนเขมร ไปดูมาด้วยตา
เพื่อจะรายงาน “ข้อเท็จจริง” จากสมรภูมิ !
[img][/img]
ไทยกับเขมรรบกัน ยังไม่ใช่สงคราม สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงความขัดแย้งปัญหาชายแดน แต่ด้วยเหตุว่ามีพวกพัธมิตร กองทัพธรรม สันติอโศก เข้าใจว่าได้รับการ “หนุน” จากพรรคประชาธิปัตย์ และมือที่มองไม่เห็น รวมหัวกันปลุกระดมด้วยอาการ “กระหายสงคราม” ไม่รู้จักเลิก อาจจะทำให้ฝ่ายทหารไทย “หลงเดินทางเข้าไปติดกับ” กลลวงของพันธมิตรจนได้ หากติดกลลวงลึกเข้าไปจนถอนตัวไม่ออกก็จะทำให้เกิดสงครามได้โดยไม่ยาก เพราะเชื้อไฟสงครามได้แก่ปราสาทพระวิหาร รอที่จะทำให้เกิดการสู้รบได้ตลอดเวลา
ขอกราบ เรียนต่อท่านผู้อ่านว่า ผมเดินทางไปที่อำเภอกาพเชิง จังหวัดสุรินทร์แล้วเลยเข้าไปในประเทศเขมร เพื่อจะหาข่าวเอามาเขียน รวมทั้งอยากทราบว่า “มูลเหตุอะไร” ที่เป็นประเด็นหลัก ที่สามารถทำให้ ๒ ประเทศ ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านที่แสนดี กลายมาเป็นเพื่อนบ้านที่แสนชั่วไปได้?
ทั้งนี้ได้อาศัยพระอธิการ จารุวัฒน์ จารุวังโส (พระปริญญาโท มศว.) นำพาเข้าไปในดินแดนเขมรเมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ได้ความรู้ที่ถูกต้องเอามารายงานให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบ
ด่านช่องจอม เป็นด่านชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านติดจังหวัดสุรินทร์ (ฝั่งไทย)และติดจังหวัอุดรมี
ชัย (ฝั่งกัมพูชา) อันเป็นด่านมิตรภาพของ ๒ ประเทศที่เชื่อมสัมพันธ์กันอย่างเป็นทางการ ทำให้พี่น้องของ ๒ ประเทศ ได้ทำมาหากิน อย่างเป็นล่ำเป็นสัน มีความก้าวหน้ากันทั้งภาคประชาชนและรัฐบาล
ทาง ฝั่งไทย ห่างจากชายแดนประมาณ ๓ กิโลเมตร เป็นสถานที่ตั้งของทหารพรานหน่วยที่ ๒๖๐๙ ส่วนทางด้านเขมรนั้น มีอาคารตระหง่านอยู่ ๑ หลัง เป็นสถานที่ตั้งของบ่อนกาสิโนกับรีสอร์ทเพื่อจะใช้เป็นที่พักในกรณีค้างแรม ชื่อ “โอเสม็ด รีสอร์ท” เลยจากเขตนี้ไป เป็นพื้นที่อันตราย ไม่ปลอดภัยที่จะก้าวย่างไปไหนโดยไม่มีการนำพา
เพื่อ ให้เรื่องราวกระชับเข้า ขอเรียนให้ทราบว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ไม่ได้เกิดจากเขมรรุกรานไทย แต่ปัญหาเกิดจากไทย ๒ เรื่อง ดังนี้ (๑) ประเทศไทยต้องการปราสาทพระวิหารคืน จึงตั้งม็อบทวงคืนประสาทพระวิหารและยุให้ทหารทำการรบ ฝ่ายทหารหลงเชื่อม็อบ เอาทหารไปแหย่ตามชายแดนจนเกิดเรื่อง และ (๒) ประเทศไทยดำเนินการผิดพลาดด้านการเมืองอย่างหนัก มีเสื้อแดงทรงพลังเกิดขึ้น ทั่วประเทศ จึงต้องการ “ก่อสงคราม” เพื่อจะเปลี่ยนหัวใจของประชาชนให้หันเหจากเสื้อสีแดง มาต่อสู้เพื่อการรักษาดินแดน-อ้างว่าเพื่อรักษาสถาบัน ?!
คน กำพูชาระดับมีการศึกษาให้เล่าเรื่องการเอาประสาทพระวิหารคืนจากเขมร ว่า ประเทศไทยเสียปราสาทพระวิหารโดยการตัดสินของศาลโลกเมื่อปี ๒๕๐๕ แล้วจะมาเอาคืนโดยการใช้กำลังทหารรบเพื่อจะชิงเอาดื้อๆมันจะเป็นไปได้ อย่างไร ถ้าทหารไทยคิดทำแบบนี้ ทหารไทยโง่ตายห่า แล้วมีคำถามว่า ทำไมไม่ทำตั้งแต่สมัย แรกๆ ปล่อยให้มันค้างเติ่งอยู่ทำไมเกือบครึ่งร้อยปี คนกัมพูชาท่านนั้นบอกต่อไป ว่าถ้าฝ่ายไทยอยากได้คืนก็ต้องไปยื่นฟ้องเอากับศาลโลกซีว้อย ถ้าศาลโลก พิพากษาให้เป็นของไทยได้อีกครั้งประเทศไทยก็จะได้คืน สะบายเฉิบไปเลย
วิธี การมันน่าจะเป็นแบบนี้ อย่ามาใช้วิธีการแบบข่มขู่คุกคามแบบนักเลงไม่มี วัฒนธรรม เห็นประเทศเขมรเป็นเบี้ยรองบ่อนหรือไง จึงพากันทำแบบนี้ การทำแบบนี้ไม่มีทางที่ประเทศเขมรจะยอมแพ้ได้เลย ขืนยอม แพ้ สมเด็จฮุนเซ็นก๊เสียคนเป็นแมวไปเลยนะซี
แล้ว ก็...พวกอำมาตย์พากันสร้างปัญหาให้การเมืองไทยแตกปริขึ้นมาเอง จนเกิดเสื้อ แดงเต็มบ้านเต็มเมืองแล้วคิดจะทำสงครามเอามาเปลี่ยนกระแส มันไม่สำเร็จดอกคุณ เพราะ ว่าสงครามเป็นเรื่องของทหารกับทหาร ไม่ใช่เป็นเรื่องของประชาชนกับประชาชน ทางเขมรอ่านปัญหาของประเทศไทยออกละเอียดยิบนะจะบอกให้ เช่น...การเลือกตั้ง ที่จะมีขึ้นในวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ปีนี้ ถึงยังไงก็ไม่อาจทำให้คนเสื้อแดงสงบขึ้นมาได้ เพราะจะมีการโกงการ เลือกตั้งสะบั้นหั่นแหลก จะมีการซื้อสิทธิ์ขายเสียงครั้งยิ่งใหญ่ในประเทศ ไทย ถ้าสมมติว่าพรรคเพื่อไทยแพ้การเลือกตั้ง อย่าคิดว่าเรื่องจะเงียบ เพราะ คนไม่เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยพ่ายแพ้ที่แท้จริง ก็จะเกิดเรื่องขึ้นมาอีก หรือว่าถ้าพรรคประชาธิปัตย์ชนะลอยลำ นึกหรือว่าจะได้รับความสะดวก เนื่องจากตัวเองมอมแมมไปจนหมด ดีแต่พูด หนี้สินพะรุงพะรัง แถมพวกอำมาตย์ไม่รู้ตัวเองว่าบ้านเมืองมีปัญหา ก็จะพากัน “หาเรื่อง” ตามสันดานยังไงล่ะ
ผมถามว่า ทางประเทศเขมรรู้สึกอย่างไรกับสถานการณ์ปัจจุบัน ?? ช่วยตอบด้วย ??!
คนกัมพูชาตอบว่า ประเทศไทยเอาคนบ้ามาเป็นตัวก่อกวน กวนอยู่ได้ตลอด ๓ ปี ๔ ปี โดยเรียกตัวเองว่าพันธมิตร สันติอโศก กองทัพธรรม พระบ้าที่ไหนกระหายสงครามยิ่งกว่านโปเลียน พูดไปแล้วไม่อยากเชื่อประเทศไทยยอมให้ “มหาโจรโพธิรักษ์อ้างพระศาสนา” เอามาเล่นละครการเมือง ปั้นพลตรีจำลอง ศรีเมืองขึ้นมาเป็นแม่ทัพ ร่วมมือกับ “สนธิ ลิ้มทองกุล” จอมกะล่อน เจ้าของสื่อ ทั้งวิทยุ ทีวี และหนังสือพิมพ์ และร่วมกับอดีตนายพลเอกในกองทัพไทยหลายคน กล่าวหา “สมเด็จฮุนเซ็น” แบบสุนัขไม่รับประทาน ด่าเช้าด่าเย็น ด่าด้วยคำหยาบหาที่เปรียบมิได้ ด่แบบสาดเสียเทเสีย ยังกะโกรธแค้นกันมาร้อยชาติพันบาท โดยเฉพาะพลเอก ปรีชา ประกาศจะเหยียบกรุงพนมเปญภยใน ๓ วัน แล้วจะตัดหัวฮุนเซ็น เอาเลือดมาล้างตีน นอกจากนี้ยังมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายก ษิต ภิรมย์ เสริมความหยาบช้าระดับชาติเข้าไปอีก มันยิ่งเป็นการ “เหยียบหยาม” คนสำคัญของประเทศเขมรแบบไม่มีวัฒนธรรมหลงเหลืออยู่เลย การกระทำแบบนี้ มันหมายถึงของ ๒ สิ่งกำลังเกิดขึ้นกับคนเขมร
[img][/img]
(๑) ถ้าเขมรยังไม่รู้จักเจ็บ...เขมรก็จะเป็นเสมือนหมาข้างถนน
(๒) ถ้าเขมรยังเป็นคน ...มันต้องมีการรักษาศักดิ์ศรีให้สมกับได้เกิดเป็นคน
ดัง นั้น เมื่อพูดถึงสงคราม เขมรพร้อมแล้วที่จะรบ จะไม่ปล่อยให้ประเทศไทยเอาฝ่าเท้าเหยียปากแล้วเอาอุจจาระอุดจมูกจนหายใจไม่ ออก จึงขอบอก “คุณสอาด” ผ่านไปยังพันธมิตรและสันติอโศกว่าอย่าเหยียบหยามคนเขมรแบบป่าเถื่อนไร้ เหตุผล พวกพันธมิตรกับสันติอโศกทำแบบนี้ มันอันธพาลหมาบ้าดีๆนี้เอง ถ้าไม่เชื่อไปเปิดทีวี เอเอสทีวีดู ไปอ่านหนังสือพิมพ์ของพวกมันดู มันทำกับเราจนจำเป็นจะต้องลุกขึ้นมาปกป้องศักดิ์ศรี
ผมถามต่อไปว่า “อ้าว...พูดแบบนี้ หมายถึงจะเกิดสงครามใช่ไหม ??!”
“คนเขมรเตรียมตัวเข้าสู่สมรภูมิแล้ว” เขาตอบโดยไม่อ้อมค้อม “ถ้าจะมีสงคราม ก็ต้องมีการประกาศโดยรัฐบาล” ส่วนทางพวกเราได้ระดมหนุ่มสาวเตรียมฝึกอาวุธรอ ประกาศเมื่อไหร่ รบเมื่อนั้น ว่าแล้วก็แสดงอาการเชื่อมั่นเป็นอย่างมาก
ผมถามต่ออีกประโยค...”ไทยใหญ่ เขมรเล็ก...ยังกล้าคิดสู้อยู่หรือ ?
เขาหัวเราะหึ..หึ...? ไม่ตอบคำถามทำให้ผมไม่อยากถามต่อ เพราะตระหนักอยู่แก่ใจกับคำว่า “ศักดิศรี” มัน มีความหมายถึงขั้นต้องยิงปืนใหญ่ บีเอ็ม ๒๑ จากกปืนใหญ่แคนของรัสเซีย ตกใส่หลังคาบ้านผู้ใหญ่พรชัย จงกฏ พังไปทั้งหลัง ซึ่งกำลังจะเขียนในโอกาสต่อไปพร้อมกับมีภาพประกอบ
หมายเหตุ ผมมีภาพถ่ายหลายภาพ จะเอามาแสดงให้ดู รอให้ผมกลับจากช่องจอมก่อน กลับถึงกรุงเทพเมื่อไหร่ จะรีบเขียนทันที
“สอาด จันทร์ดี”
E-mail:saard.chandee@yahoo.com
เพื่อจะรายงาน “ข้อเท็จจริง” จากสมรภูมิ !
[img][/img]
ไทยกับเขมรรบกัน ยังไม่ใช่สงคราม สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงความขัดแย้งปัญหาชายแดน แต่ด้วยเหตุว่ามีพวกพัธมิตร กองทัพธรรม สันติอโศก เข้าใจว่าได้รับการ “หนุน” จากพรรคประชาธิปัตย์ และมือที่มองไม่เห็น รวมหัวกันปลุกระดมด้วยอาการ “กระหายสงคราม” ไม่รู้จักเลิก อาจจะทำให้ฝ่ายทหารไทย “หลงเดินทางเข้าไปติดกับ” กลลวงของพันธมิตรจนได้ หากติดกลลวงลึกเข้าไปจนถอนตัวไม่ออกก็จะทำให้เกิดสงครามได้โดยไม่ยาก เพราะเชื้อไฟสงครามได้แก่ปราสาทพระวิหาร รอที่จะทำให้เกิดการสู้รบได้ตลอดเวลา
ขอกราบ เรียนต่อท่านผู้อ่านว่า ผมเดินทางไปที่อำเภอกาพเชิง จังหวัดสุรินทร์แล้วเลยเข้าไปในประเทศเขมร เพื่อจะหาข่าวเอามาเขียน รวมทั้งอยากทราบว่า “มูลเหตุอะไร” ที่เป็นประเด็นหลัก ที่สามารถทำให้ ๒ ประเทศ ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านที่แสนดี กลายมาเป็นเพื่อนบ้านที่แสนชั่วไปได้?
ทั้งนี้ได้อาศัยพระอธิการ จารุวัฒน์ จารุวังโส (พระปริญญาโท มศว.) นำพาเข้าไปในดินแดนเขมรเมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ได้ความรู้ที่ถูกต้องเอามารายงานให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบ
ด่านช่องจอม เป็นด่านชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านติดจังหวัดสุรินทร์ (ฝั่งไทย)และติดจังหวัอุดรมี
ชัย (ฝั่งกัมพูชา) อันเป็นด่านมิตรภาพของ ๒ ประเทศที่เชื่อมสัมพันธ์กันอย่างเป็นทางการ ทำให้พี่น้องของ ๒ ประเทศ ได้ทำมาหากิน อย่างเป็นล่ำเป็นสัน มีความก้าวหน้ากันทั้งภาคประชาชนและรัฐบาล
ทาง ฝั่งไทย ห่างจากชายแดนประมาณ ๓ กิโลเมตร เป็นสถานที่ตั้งของทหารพรานหน่วยที่ ๒๖๐๙ ส่วนทางด้านเขมรนั้น มีอาคารตระหง่านอยู่ ๑ หลัง เป็นสถานที่ตั้งของบ่อนกาสิโนกับรีสอร์ทเพื่อจะใช้เป็นที่พักในกรณีค้างแรม ชื่อ “โอเสม็ด รีสอร์ท” เลยจากเขตนี้ไป เป็นพื้นที่อันตราย ไม่ปลอดภัยที่จะก้าวย่างไปไหนโดยไม่มีการนำพา
เพื่อ ให้เรื่องราวกระชับเข้า ขอเรียนให้ทราบว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ไม่ได้เกิดจากเขมรรุกรานไทย แต่ปัญหาเกิดจากไทย ๒ เรื่อง ดังนี้ (๑) ประเทศไทยต้องการปราสาทพระวิหารคืน จึงตั้งม็อบทวงคืนประสาทพระวิหารและยุให้ทหารทำการรบ ฝ่ายทหารหลงเชื่อม็อบ เอาทหารไปแหย่ตามชายแดนจนเกิดเรื่อง และ (๒) ประเทศไทยดำเนินการผิดพลาดด้านการเมืองอย่างหนัก มีเสื้อแดงทรงพลังเกิดขึ้น ทั่วประเทศ จึงต้องการ “ก่อสงคราม” เพื่อจะเปลี่ยนหัวใจของประชาชนให้หันเหจากเสื้อสีแดง มาต่อสู้เพื่อการรักษาดินแดน-อ้างว่าเพื่อรักษาสถาบัน ?!
คน กำพูชาระดับมีการศึกษาให้เล่าเรื่องการเอาประสาทพระวิหารคืนจากเขมร ว่า ประเทศไทยเสียปราสาทพระวิหารโดยการตัดสินของศาลโลกเมื่อปี ๒๕๐๕ แล้วจะมาเอาคืนโดยการใช้กำลังทหารรบเพื่อจะชิงเอาดื้อๆมันจะเป็นไปได้ อย่างไร ถ้าทหารไทยคิดทำแบบนี้ ทหารไทยโง่ตายห่า แล้วมีคำถามว่า ทำไมไม่ทำตั้งแต่สมัย แรกๆ ปล่อยให้มันค้างเติ่งอยู่ทำไมเกือบครึ่งร้อยปี คนกัมพูชาท่านนั้นบอกต่อไป ว่าถ้าฝ่ายไทยอยากได้คืนก็ต้องไปยื่นฟ้องเอากับศาลโลกซีว้อย ถ้าศาลโลก พิพากษาให้เป็นของไทยได้อีกครั้งประเทศไทยก็จะได้คืน สะบายเฉิบไปเลย
วิธี การมันน่าจะเป็นแบบนี้ อย่ามาใช้วิธีการแบบข่มขู่คุกคามแบบนักเลงไม่มี วัฒนธรรม เห็นประเทศเขมรเป็นเบี้ยรองบ่อนหรือไง จึงพากันทำแบบนี้ การทำแบบนี้ไม่มีทางที่ประเทศเขมรจะยอมแพ้ได้เลย ขืนยอม แพ้ สมเด็จฮุนเซ็นก๊เสียคนเป็นแมวไปเลยนะซี
แล้ว ก็...พวกอำมาตย์พากันสร้างปัญหาให้การเมืองไทยแตกปริขึ้นมาเอง จนเกิดเสื้อ แดงเต็มบ้านเต็มเมืองแล้วคิดจะทำสงครามเอามาเปลี่ยนกระแส มันไม่สำเร็จดอกคุณ เพราะ ว่าสงครามเป็นเรื่องของทหารกับทหาร ไม่ใช่เป็นเรื่องของประชาชนกับประชาชน ทางเขมรอ่านปัญหาของประเทศไทยออกละเอียดยิบนะจะบอกให้ เช่น...การเลือกตั้ง ที่จะมีขึ้นในวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ปีนี้ ถึงยังไงก็ไม่อาจทำให้คนเสื้อแดงสงบขึ้นมาได้ เพราะจะมีการโกงการ เลือกตั้งสะบั้นหั่นแหลก จะมีการซื้อสิทธิ์ขายเสียงครั้งยิ่งใหญ่ในประเทศ ไทย ถ้าสมมติว่าพรรคเพื่อไทยแพ้การเลือกตั้ง อย่าคิดว่าเรื่องจะเงียบ เพราะ คนไม่เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยพ่ายแพ้ที่แท้จริง ก็จะเกิดเรื่องขึ้นมาอีก หรือว่าถ้าพรรคประชาธิปัตย์ชนะลอยลำ นึกหรือว่าจะได้รับความสะดวก เนื่องจากตัวเองมอมแมมไปจนหมด ดีแต่พูด หนี้สินพะรุงพะรัง แถมพวกอำมาตย์ไม่รู้ตัวเองว่าบ้านเมืองมีปัญหา ก็จะพากัน “หาเรื่อง” ตามสันดานยังไงล่ะ
ผมถามว่า ทางประเทศเขมรรู้สึกอย่างไรกับสถานการณ์ปัจจุบัน ?? ช่วยตอบด้วย ??!
คนกัมพูชาตอบว่า ประเทศไทยเอาคนบ้ามาเป็นตัวก่อกวน กวนอยู่ได้ตลอด ๓ ปี ๔ ปี โดยเรียกตัวเองว่าพันธมิตร สันติอโศก กองทัพธรรม พระบ้าที่ไหนกระหายสงครามยิ่งกว่านโปเลียน พูดไปแล้วไม่อยากเชื่อประเทศไทยยอมให้ “มหาโจรโพธิรักษ์อ้างพระศาสนา” เอามาเล่นละครการเมือง ปั้นพลตรีจำลอง ศรีเมืองขึ้นมาเป็นแม่ทัพ ร่วมมือกับ “สนธิ ลิ้มทองกุล” จอมกะล่อน เจ้าของสื่อ ทั้งวิทยุ ทีวี และหนังสือพิมพ์ และร่วมกับอดีตนายพลเอกในกองทัพไทยหลายคน กล่าวหา “สมเด็จฮุนเซ็น” แบบสุนัขไม่รับประทาน ด่าเช้าด่าเย็น ด่าด้วยคำหยาบหาที่เปรียบมิได้ ด่แบบสาดเสียเทเสีย ยังกะโกรธแค้นกันมาร้อยชาติพันบาท โดยเฉพาะพลเอก ปรีชา ประกาศจะเหยียบกรุงพนมเปญภยใน ๓ วัน แล้วจะตัดหัวฮุนเซ็น เอาเลือดมาล้างตีน นอกจากนี้ยังมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายก ษิต ภิรมย์ เสริมความหยาบช้าระดับชาติเข้าไปอีก มันยิ่งเป็นการ “เหยียบหยาม” คนสำคัญของประเทศเขมรแบบไม่มีวัฒนธรรมหลงเหลืออยู่เลย การกระทำแบบนี้ มันหมายถึงของ ๒ สิ่งกำลังเกิดขึ้นกับคนเขมร
[img][/img]
(๑) ถ้าเขมรยังไม่รู้จักเจ็บ...เขมรก็จะเป็นเสมือนหมาข้างถนน
(๒) ถ้าเขมรยังเป็นคน ...มันต้องมีการรักษาศักดิ์ศรีให้สมกับได้เกิดเป็นคน
ดัง นั้น เมื่อพูดถึงสงคราม เขมรพร้อมแล้วที่จะรบ จะไม่ปล่อยให้ประเทศไทยเอาฝ่าเท้าเหยียปากแล้วเอาอุจจาระอุดจมูกจนหายใจไม่ ออก จึงขอบอก “คุณสอาด” ผ่านไปยังพันธมิตรและสันติอโศกว่าอย่าเหยียบหยามคนเขมรแบบป่าเถื่อนไร้ เหตุผล พวกพันธมิตรกับสันติอโศกทำแบบนี้ มันอันธพาลหมาบ้าดีๆนี้เอง ถ้าไม่เชื่อไปเปิดทีวี เอเอสทีวีดู ไปอ่านหนังสือพิมพ์ของพวกมันดู มันทำกับเราจนจำเป็นจะต้องลุกขึ้นมาปกป้องศักดิ์ศรี
ผมถามต่อไปว่า “อ้าว...พูดแบบนี้ หมายถึงจะเกิดสงครามใช่ไหม ??!”
“คนเขมรเตรียมตัวเข้าสู่สมรภูมิแล้ว” เขาตอบโดยไม่อ้อมค้อม “ถ้าจะมีสงคราม ก็ต้องมีการประกาศโดยรัฐบาล” ส่วนทางพวกเราได้ระดมหนุ่มสาวเตรียมฝึกอาวุธรอ ประกาศเมื่อไหร่ รบเมื่อนั้น ว่าแล้วก็แสดงอาการเชื่อมั่นเป็นอย่างมาก
ผมถามต่ออีกประโยค...”ไทยใหญ่ เขมรเล็ก...ยังกล้าคิดสู้อยู่หรือ ?
เขาหัวเราะหึ..หึ...? ไม่ตอบคำถามทำให้ผมไม่อยากถามต่อ เพราะตระหนักอยู่แก่ใจกับคำว่า “ศักดิศรี” มัน มีความหมายถึงขั้นต้องยิงปืนใหญ่ บีเอ็ม ๒๑ จากกปืนใหญ่แคนของรัสเซีย ตกใส่หลังคาบ้านผู้ใหญ่พรชัย จงกฏ พังไปทั้งหลัง ซึ่งกำลังจะเขียนในโอกาสต่อไปพร้อมกับมีภาพประกอบ
หมายเหตุ ผมมีภาพถ่ายหลายภาพ จะเอามาแสดงให้ดู รอให้ผมกลับจากช่องจอมก่อน กลับถึงกรุงเทพเมื่อไหร่ จะรีบเขียนทันที
“สอาด จันทร์ดี”
E-mail:saard.chandee@yahoo.com
lucky m.- Hero gen.seh member
- จำนวนข้อความ : 2803
Join date : 12/06/2010
ไทยเป็นตัวปัญหาในอาเซียน
ไทยเป็นตัวปัญหาในอาเซียน
[img][/img]
ไม่มีใครจะปฏิเสธได้ว่า ท่าทีของรัฐบาลไทยเกี่ยวกับปัญหาความขัดแย้งตามแนวชายแดนระหว่างไทยกับ กัมพูชาทำให้ประเทศไทยถูกมองไปในทางลบในสายตาของสมาชิกอาเซียนและประชาคมโลก ในขณะที่กัมพูชาสามารถสร้างภาพให้ต่างประเทศเห็นว่าเป็นฝ่ายที่รักสันติและ ปฏิบัติตามพันธกรณีและกฏหมายระหว่างประเทศ ความล้มเหลวของการทูตไทยดังกล่าวนี้ นับได้ว่าเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ฯ และรัฐมนตรีต่างประเทศของไทยที่ชอบวางตัวเป็นศัตรูกับทุกประเทศ
นับตั้งแต่สหประชาชาติได้มอบหมายให้อินโดนีเซีย ในฐานะประธานอาเซียน เป็นผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาเพื่อให้บรรลุถึงการ คลี่คลายปัญหาการขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ประเทศไทยได้แสดงท่าทีที่บ่าย เบี่ยงอย่างเห็นได้ชัด ในลักษณะทีเล่นทีจริง หรือไม่ยอมให้ความร่วมมือกับอินโดนีเซียอย่างดื้อ ๆ อีกทั้งไม่ยอมให้ผู้สังเกตการณ์อินโดนีเซียเข้ามาทำหน้าที่ในพื้นที่ของไทย ตามแนวชายแดนฯ โดยตั้งแง่นานาประการเพื่อหลีกเลี่ยงที่จะปฏิบัติตามข้อตกลงฯ ในทางตรงกันข้าม ฝ่ายกัมพูชาได้แสดงท่าทีผ่อนปรนและยินยอมให้ความร่วมมือกับอินโดนีเซียในการ ไกล่เกลี่ยกรณีข้อพิพาทฯ โดยอ้างว่าตนต้องการให้มีการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทฯ อย่างสันติบนพื้นฐานของกฏหมายระหว่างประเทศและตามเจตนารมย์ของกฏบัตรอาเซียน รวมถึงสนธิสัญญาและความตกลงที่เกี่ยวข้อง ในขณะที่ไทยยังไม่มีท่าทีที่ชัดเจนเกี่ยวกับการยอมรับการไกล่เกลี่ยของ อินโดนีเซีย กัมพูชาได้แสดงท่าทีที่ชัดเจนในการยอมให้ความร่วมมือแก่อินโดนีเซียที่จะส่ง ผู้สังเกตการณ์เข้ามาในบริเวณปราสาทพระวิหารตามมติของสหประชาชาติ เมื่อ อินโดนีเซียได้จัดทำข้อตกลงเพื่อกำหนดอำนาจหน้าที่ของผู้สังเกตการณ์หรือ TOR เสร็จ แล้ว กัมพูชาได้ทำหนังสือยินยอมเมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคมเพื่อให้ข้อตกลงฯ มีผลใช้บังคับ ในขณะที่ประเทศไทยยังไม่ยอมรับข้อตกลงฯ และยังตั้งเงื่อนไขอยู่ตลอดเวลา ทำให้สมาชิกของอาเซียนและประชาคมโลกรู้สึก เบื่อหน่ายและมองไปว่าประเทศไทยไม่มีเจตนาที่จะแก้ปัญหาชายแดนระหว่างไทยกับ กัมพูชาอย่างจริงจังตามกระบวนการของอาเซียนและข้อมติของสหประชาชาติ แม้ กระทั่งรัฐมนตรีช่วยต่างประเทศของมาเลเซียก็หมดความอดทนต่อไทยและได้ออก มากล่าวหาว่าไทยว่าละเมิดข้อตกลงเรื่องการส่งผู้สังเกตการณ์ไปยังพื้นที่ข้อ พิพาทฯ
[img][/img]
การเจรจาในระดับทวิภาคีน่าจะเป็นวิธีแก้ปัญหาระหว่างประเทศที่ได้ผลที่ สุด แต่จนถึงปัจจุบัน การเจรจาแบบทวิภาคียังไม่มีผลคืบหน้าแต่ประการใด ในขณะที่ทหารไทยและคนไทยต้องสังเวยชีวิตจากการปะทะกับกองกำลังฝ่ายเขมรตาม แนวชายแดนฯ นอกจากนี้ รายงานการประชุมคณะกรรมการร่วมเพื่อแก้ไขปัญหาชายแดนไทยกัมพูชาทั้ง ๓ ฉบับก็ยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากฝ่ายไทยเนื่องจากปัญหาภายในของไทยเองและ ข้อจำกัดของรัฐธรรมนูญของปี ๒๕๕๐ ซึ่งระบุว่ารัฐสภาต้องให้ความเห็นชอบในหนังสือสัญญาระหว่างประเทศ เมื่อการเจรจาในระดับทิวภาคีไม่ได้ผลหรือไม่คืบหน้า ไทยก็ควรจะใช้ช่องทางอื่น ๆ ซึ่งรวมถึงการไกล่เกลี่ยโดยประเทศที่สามหรือการเจรจาในระดับพหุภาคีในขอบ เขตที่จำกัด เพื่อมิให้ข้อพิพาทปานปลายเป็นปัญหาระหว่างประเทศจนศาลโลกต้องเข้ามาเกี่ยว ข้อง อาเซียนเองก็มีกลไกสำหรับการแก้ไขข้อพิพาทในระดับภูมิภาค เช่น สนธิสัญญา Amity and Cooperation, ASEAN Regional Forum, สถาบัน เพื่อสันติและความสมานฉันท์ และการประชุมสุดยอดของอาเซียน ซึ่งประเทศไทยอาจจะใช้ให้เป็นประโยชน์ได้เพื่อส่งเสริมสันติภาพ ความมั่นคง และเสถียรภาพในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
โดย ดร.พิทยา พุกกะมาน
อดีตเอกอัครราชทูต
[img][/img]
ไม่มีใครจะปฏิเสธได้ว่า ท่าทีของรัฐบาลไทยเกี่ยวกับปัญหาความขัดแย้งตามแนวชายแดนระหว่างไทยกับ กัมพูชาทำให้ประเทศไทยถูกมองไปในทางลบในสายตาของสมาชิกอาเซียนและประชาคมโลก ในขณะที่กัมพูชาสามารถสร้างภาพให้ต่างประเทศเห็นว่าเป็นฝ่ายที่รักสันติและ ปฏิบัติตามพันธกรณีและกฏหมายระหว่างประเทศ ความล้มเหลวของการทูตไทยดังกล่าวนี้ นับได้ว่าเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ฯ และรัฐมนตรีต่างประเทศของไทยที่ชอบวางตัวเป็นศัตรูกับทุกประเทศ
นับตั้งแต่สหประชาชาติได้มอบหมายให้อินโดนีเซีย ในฐานะประธานอาเซียน เป็นผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาเพื่อให้บรรลุถึงการ คลี่คลายปัญหาการขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ประเทศไทยได้แสดงท่าทีที่บ่าย เบี่ยงอย่างเห็นได้ชัด ในลักษณะทีเล่นทีจริง หรือไม่ยอมให้ความร่วมมือกับอินโดนีเซียอย่างดื้อ ๆ อีกทั้งไม่ยอมให้ผู้สังเกตการณ์อินโดนีเซียเข้ามาทำหน้าที่ในพื้นที่ของไทย ตามแนวชายแดนฯ โดยตั้งแง่นานาประการเพื่อหลีกเลี่ยงที่จะปฏิบัติตามข้อตกลงฯ ในทางตรงกันข้าม ฝ่ายกัมพูชาได้แสดงท่าทีผ่อนปรนและยินยอมให้ความร่วมมือกับอินโดนีเซียในการ ไกล่เกลี่ยกรณีข้อพิพาทฯ โดยอ้างว่าตนต้องการให้มีการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทฯ อย่างสันติบนพื้นฐานของกฏหมายระหว่างประเทศและตามเจตนารมย์ของกฏบัตรอาเซียน รวมถึงสนธิสัญญาและความตกลงที่เกี่ยวข้อง ในขณะที่ไทยยังไม่มีท่าทีที่ชัดเจนเกี่ยวกับการยอมรับการไกล่เกลี่ยของ อินโดนีเซีย กัมพูชาได้แสดงท่าทีที่ชัดเจนในการยอมให้ความร่วมมือแก่อินโดนีเซียที่จะส่ง ผู้สังเกตการณ์เข้ามาในบริเวณปราสาทพระวิหารตามมติของสหประชาชาติ เมื่อ อินโดนีเซียได้จัดทำข้อตกลงเพื่อกำหนดอำนาจหน้าที่ของผู้สังเกตการณ์หรือ TOR เสร็จ แล้ว กัมพูชาได้ทำหนังสือยินยอมเมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคมเพื่อให้ข้อตกลงฯ มีผลใช้บังคับ ในขณะที่ประเทศไทยยังไม่ยอมรับข้อตกลงฯ และยังตั้งเงื่อนไขอยู่ตลอดเวลา ทำให้สมาชิกของอาเซียนและประชาคมโลกรู้สึก เบื่อหน่ายและมองไปว่าประเทศไทยไม่มีเจตนาที่จะแก้ปัญหาชายแดนระหว่างไทยกับ กัมพูชาอย่างจริงจังตามกระบวนการของอาเซียนและข้อมติของสหประชาชาติ แม้ กระทั่งรัฐมนตรีช่วยต่างประเทศของมาเลเซียก็หมดความอดทนต่อไทยและได้ออก มากล่าวหาว่าไทยว่าละเมิดข้อตกลงเรื่องการส่งผู้สังเกตการณ์ไปยังพื้นที่ข้อ พิพาทฯ
[img][/img]
การเจรจาในระดับทวิภาคีน่าจะเป็นวิธีแก้ปัญหาระหว่างประเทศที่ได้ผลที่ สุด แต่จนถึงปัจจุบัน การเจรจาแบบทวิภาคียังไม่มีผลคืบหน้าแต่ประการใด ในขณะที่ทหารไทยและคนไทยต้องสังเวยชีวิตจากการปะทะกับกองกำลังฝ่ายเขมรตาม แนวชายแดนฯ นอกจากนี้ รายงานการประชุมคณะกรรมการร่วมเพื่อแก้ไขปัญหาชายแดนไทยกัมพูชาทั้ง ๓ ฉบับก็ยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากฝ่ายไทยเนื่องจากปัญหาภายในของไทยเองและ ข้อจำกัดของรัฐธรรมนูญของปี ๒๕๕๐ ซึ่งระบุว่ารัฐสภาต้องให้ความเห็นชอบในหนังสือสัญญาระหว่างประเทศ เมื่อการเจรจาในระดับทิวภาคีไม่ได้ผลหรือไม่คืบหน้า ไทยก็ควรจะใช้ช่องทางอื่น ๆ ซึ่งรวมถึงการไกล่เกลี่ยโดยประเทศที่สามหรือการเจรจาในระดับพหุภาคีในขอบ เขตที่จำกัด เพื่อมิให้ข้อพิพาทปานปลายเป็นปัญหาระหว่างประเทศจนศาลโลกต้องเข้ามาเกี่ยว ข้อง อาเซียนเองก็มีกลไกสำหรับการแก้ไขข้อพิพาทในระดับภูมิภาค เช่น สนธิสัญญา Amity and Cooperation, ASEAN Regional Forum, สถาบัน เพื่อสันติและความสมานฉันท์ และการประชุมสุดยอดของอาเซียน ซึ่งประเทศไทยอาจจะใช้ให้เป็นประโยชน์ได้เพื่อส่งเสริมสันติภาพ ความมั่นคง และเสถียรภาพในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
โดย ดร.พิทยา พุกกะมาน
อดีตเอกอัครราชทูต
lucky m.- Hero gen.seh member
- จำนวนข้อความ : 2803
Join date : 12/06/2010
Similar topics
» บทความจากอ.สอาด จันทร์ดี
» สอาด จันทร์ดี ...แฉ เบื้องลึก ปชป. พธม. ?
» สอาด จันทร์ดี...เขียน ป้ายหัวหมา หัวลิง ?!
» อ. สอาด จันทร์ดี >>หลุมศพ *ปริศนา* ระยอง ?
» ดูลัทธิรอมชอม... "กัดกิน" กัดดาฟี่?! โดย...สอาด จันทร์ดี
» สอาด จันทร์ดี ...แฉ เบื้องลึก ปชป. พธม. ?
» สอาด จันทร์ดี...เขียน ป้ายหัวหมา หัวลิง ?!
» อ. สอาด จันทร์ดี >>หลุมศพ *ปริศนา* ระยอง ?
» ดูลัทธิรอมชอม... "กัดกิน" กัดดาฟี่?! โดย...สอาด จันทร์ดี
หน้า 1 จาก 1
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ