Hijack ประเทศไทย!!!วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
2 posters
หน้า 1 จาก 1
Hijack ประเทศไทย!!!วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
ไทยรัฐ-ไทยร้าว วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
« เมื่อ: วันนี้ เวลา 08:08:13 AM »
--------------------------------------------------------------------------------
สงครามยิงเกิดขึ้นในประเทศไทย
ซึ่งเราเรียกว่า “วันเสียงปืนแตก” เกิดขึ้นเมื่อ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2508
ซึ่งเป็นวันที่กองกำลังพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
ใช้อาวุธโจมตีกองกำลังของรัฐบาลไทยเป็นครั้งแรก
เหตุเกิดที่ บ้านนาบัว ตำบลเรณูนคร อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม
หลังจากนั้นเพียงสองปี ฐานปฏิบัติการตำรวจตระเวนชายแดนแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ
ได้ถูกผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ลอบเข้าตีตอนใกล้รุ่ง
ตัวนายตำรวจซึ่งทำหน้าที่ผู้บังคับหมวด
เป็นนายร้อยใหม่ๆเพิ่งสำเร็จจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ สามพราน
เขาและผู้ใต้บังคับบัญชายิงตอบโต้แบบสู้เย็บตา จนสามารถรักษาฐานที่มั่นเอาไว้ได้
และได้วิทยุรายงานเหตุการณ์ ไปยังกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน
พล.ต.ต.กระจ่าง ผลเพิ่ม รองผู้บัญชาการในขณะนั้น ตอบวิทยุ กลับไปว่า
“สมน้ำหน้า! ที่ถูกโจมตี ก็เพราะ...ขาดการลาดตระเวนรอบฐาน!!”
ตั้งแต่นั้นมา ผู้บังคับหมวดคนนี้ ก็ไม่เคยลืมคำตำหนิเชิงสั่งสอน ของผู้บังคับบัญชาท่านนี้เลย
นายตำรวจที่ผมเล่าให้ฟังนี้ เป็นลูกหม้อของตำรวจตระเวนชายแดน
ตั้งแต่มียศเป็นร้อยตำรวจตรี ต่อมาได้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการในที่สุด
และได้เกษียณอายุราชการไปหลายปีแล้ว
เมื่อ 4 ม.ค.พ.ศ.2547 ค่ายทหาร ที่ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส
ชื่อ ‘ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์’ ถูกผู้ก่อการร้ายเข้ายึด และฆ่าทหาร
ปล้นเอาอาวุธปืนไปเป็นจำนวนมาก
ผู้คนตกตะลึง!
นับว่าเป็นค่ายทหารที่ถูกตีแตกพ่าย เป็นครั้งแรก
ในรอบกว่า 200 ปี ของประวัติศาสตร์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์!
ขายขี้หน้า...เป็นที่สุด!!
ในครั้งนั้น ผมยังอยู่ที่ค่าย ‘ผู้จัดการ’ ก็ได้เขียนบทวิพากษ์วิจารณ์รุนแรง และคิดว่า
เหตุการณ์ที่ถูกผู้ก่อการร้ายสั่งสอนเอาในครั้งนั้น
น่าจะเป็นบทเรียนให้ฝ่ายทหาร คิดทบทวนหามาตรการป้องกัน
เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่น่าอับอายเช่นนี้อีก
ความคาดหมายของผม...ผิดไป!
ปีใหม่ปีนี้เพิ่งผ่านไปไม่เท่าไร
ในวันที่ 18 ม.ค.2554 ผู้ก่อการร้ายไม่ได้ได้บุกปล้นค่ายทหารอีกก็จริง
แต่ครั้งนี้บุกเข้าถล่มฐานทหาร “พระองค์ดำ” ของฉก.นราธิวาส 38
เป็นเหตุให้นายทหารหนุ่มยศร้อยเอก กำลังจะแต่งงาน ต้องสังเวยชีวิต
พร้อมผู้ใต้บังคับบัญชาอีกหลายนายไป อย่างน่าเสียดาย
ปืนในคลังถูกปล้นไปกว่า 50 กระบอกพร้อมกระสุนอีกกว่า 5,000 นัด
การโจมตีครั้งนี้ มีลักษณะอุกอาจ มีการวางแผนเป็นอย่างดี
ยิ่งกว่าการปล้นค่ายทหารครั้งแรก ที่อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส...
ใช่แต่เพียงแค่นั้น...
ต่อมาอีกไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ ชาวบ้าน จะไปเก็บหาของป่า
ถูกระเบิดของฝ่ายผู้ก่อการร้าย ตายไปอีก 9 ศพ น่าอเนจอนาถนัก
เหตุเกิดที่อำเภอยะหา จังหวัดยะลา
สะเทือนขวัญราษฎร เป็นอย่างยิ่ง!
การโจมตีฐานทหาร เมื่อ 18 ม.ค.2554 นั้น ในวันเกิดเหตุ
มีทหารพักถึงครึ่งหนึ่งของกำลังที่มีอยู่ ซึ่งการพักในพื้นที่ซึ่งมีสถานการณ์เข้มข้นนั้น
โดยปกติแล้วเขาจะพักกัน 1 ใน 5 ของกำลังที่มีอยู่
ในวันดังกล่าว มีทหารอยู่ในฐานน้อย ทั้งนี้
อาจเป็นเพราะทหารมีภารกิจในการรับทั้งนายกฯ
และผู้บังคับบัญชาของตนมาแล้วก่อนหน้านั้น เลยทำให้บางส่วนพักซ้อนกัน
นอกจากนั้นในวันที่โดนโจมตี หน่วยทหารเรือฝ่ายนาวิกโยธิน
มีการจัดเลี้ยงในวันกองทัพไทยในเมือง
ทางฐานก็ต้องมีกำลังทหารจากฐานนี้ ไปร่วมงานตามธรรมเนียมด้วย
ดังนั้น ความระมัดระวังตามปกติถดถอยลง
การดูแลรักษาความปลอดฐานจึงย่อหย่อนลง
และ เรื่องการจัดชุดลาดตระเวนรอบฐาน ก็คงไม่ได้ทำ
ความสูญเสียจึงเกิดขึ้น!
ผู้บัญชาการทหารบก คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งรับผิดชอบกองทัพบก
นอกจากจะหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบไม่ได้ แล้ว
ยังไม่ได้ออกมาพูดจาให้ความอุ่นใจกับประชาชน
แต่กลับบอกว่า ประชาชนไม่ควรวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของทหารเสียอีกด้วย
ตัวท่าน ผบ.ทบ.เอง ก็เพิ่งมีปัญหากับสื่อ
เพราะการออกอารมณ์ฉุนเฉียว จนถูกวิพากษ์วิจารณ์เอามากๆ เมื่อไม่นานมานี้
มาคราวนี้ก็เอาอีก ด้วยการพูดจา ‘ขัดหู’ ชาวบ้าน
ผมคิดว่า สื่อมวลชนมีสิทธิ์ไต่ถามเรื่องที่เกิดขึ้น
เพราะประชาชนเองก็มีสิทธิ์รู้ว่า กองทัพมีประสิทธิภาพมากแค่ไหน
ในการรักษาแผ่นดินของบรรพบุรุษผืนนี้ ซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้อาสามาทำหน้าที่ ‘ทหาร’
และบัดนี้ได้รับมอบอำนาจจากรัฐบาลนี้ ให้ดูแลรับผิดชอบเหนือหน่วยราชการอื่นๆ
แต่กลับทำงานไม่ ‘เข้าตา’ ชาวบ้าน แล้วยังมาพูดจาในทำนองต่อว่าชาวบ้านเสียอีก
ยิ่งกลายเป็น ‘ขี้ปาก’ ผู้คนหนักขึ้นอีก!
ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มาก คือการแสดงออกด้วยภาษากายของท่าน
มีการออกแอ๊คชั่นลีลาด้วยท่าทาง ที่เหมือนจะพยายามแสดงว่า
เป็นคนเอาจริงและดุดัน คล้ายตั้งใจทำให้ภาพลักษณ์ออกมาดูเหี้ยมเกรียมน่ากลัว
แต่แทนที่ชาวบ้านจะกลัว เขากลับมีความไต่ถามกันว่า
‘เว่อร์’ เกินเหตุไป หรือเปล่า!!?
การที่ พล.อ.ประยุทธ์ฯมาเป็น ผบ.ทบ.นั้น ทั้งสื่อและประชาชนก็ทราบดีว่า
ตัวท่านเองยังไม่เคยมีประวัติในการรบ จนเป็นที่ประทับใจทหารและชาวบ้าน
เหมือนกับอดีตผู้บังคับบัญชาทหารบกบางท่าน
แต่นั่น ยังไม่ใช่ประเด็น...
เรื่องหลักจริงๆอยู่ตรง ทั้งสื่อและชาวบ้าน เขาต้องการทราบว่า
เมื่อมีเหตุร้ายอย่างนี้เกิดขึ้นในยุคสมัยที่ท่านรับผิดชอบ
ท่านและกองทัพบก มีกลยุทธ์ที่จะใช้แก้ปัญหาภาคใต้นั้นได้ดีแค่ไหน?
ตรงนี้และที่สำคัญ!
สำหรับสื่อและประชาชน เขาเห็นว่าการก่อการร้ายที่ปลายด้ามขวานของไทยเรา
มีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น และนี่เอง คงชี้ให้เห็นว่า
ท่าน ผบ.ทบ.มี ‘กึ๋น’ อยู่แค่ไหน!!?
ขอบอกกันตรงๆ เลยว่า
ความเป็นผู้นำหน่วย ที่จะทำให้ผู้คนเขาเคารพนับถือ
นอกจากมีความสามารถในการนำหน่วยแล้ว การพูดจากับสาธารณะชน
ไม่ว่าจะเป็นสื่อหรือประชาชน ควรจะแสดงความเป็น ‘ผู้ดี’
และที่สำคัญจะต้องแสดงความเป็น ‘มิตร’ด้วยน้ำใสใจจริง
จึงจะเอาชนะใจชาวบ้านได้!
หาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.
หากท่านต้องการที่จะลดการวิพากษ์วิจารณ์ ของสื่อและชาวบ้าน นั้น
ท่านจะต้องทำให้กองทัพ มีประสิทธิภาพมากกว่าที่เป็นอยู่
และต้องมีความตั้งใจจริง ที่จะกวาดล้างทุจริตในกองทัพ
ซึ่งบ่อนทำลายและกัดเซาะความเชื่อมั่นของผู้คน
รวมทั้งคนในกองทัพด้วย!!
ผมอยากให้ท่านลองศึกษาเรื่องเจ้ากรมทหารสื่อสาร ยศ พล.อ. 3 นาย
ที่ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลไปเรียบร้อย
และยกเป็นตัวอย่างเตือนใจทหารผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านด้วย
นี่ยังไม่นับรวมเองคอรัปชั่นในกองทัพอื่นๆ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง “เรือเหาะ” ที่ไม่เคยเหาะได้เหมือนชื่อ
หรือเรื่อง “ไม้ชี้หลุมขี้” ที่พี่น้องประชาชน เขาพากันขบขันปนสมเพชไปทั้งประเทศ
แล้วพากันพูดเป็นเสียงเดียวว่า
“ทำไมมัน ‘ทุเรศ’ อย่างนี้! (วะ)”
ดูอย่างกลุ่มพันธมารที่กำลังไปเปิดเวทีอยู่ที่มัฆวาน
ยังเอาเรื่องคอรัปชั่นของทหารมาด่าโครมๆ ผมไม่เห็นมีทหารหน้าไหน ออกไปเถียงว่า...
พวกตัวเองนั้น ไม่ได้คดโกงแผ่นดินสักคน หรือไม่กล้าสู้หน้าพวกพันธมารก็ไม่รู้
กลัวกันมาก...ขนาดนั้นเลยหรือ?
สรุปว่า พล.อ.ประยุทธ์ฯ จะต้องหมั่นเตือนผู้ใต้บังคับบัญชา
ในเรื่องความซื่อสัตย์ต่อแผ่นดิน
และตัวท่านเอง ก็จะต้องทำตัวให้เป็นแบบอย่างอันดีด้วย
ก็เตือนกันไว้ แค่นี้แหละ!!
การแก้ไขปัญหาภาคใต้นั้น มีการทุ่มเทงบประมาณมหาศาล
แต่ผลที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้เป็นอย่างที่หวัง ความรุนแรงก็กลับเพิ่มมากขึ้น
แม้ทางทหารและทางราชการ จะออกมาโปรปะกันดา ผ่านช่องทางต่างๆว่า
สถานการณ์ค่อยๆดีขึ้นเป็นลำดับ
การก่อการร้ายเป็นรายครั้งลดลง ระดับความรุนแรงลดลง
เสร็จแล้วกล่าวสรุปสถานการณ์ ด้วยคำกล่าวที่เป็น cliché หรือซ้ำซากน่าเบื่อหน่ายว่า
เรามาถูกทางแล้ว!
ผมคิดว่า ในการแก้ปัญหาภาคใต้นั้น
จะต้องมีการศึกษาหนทางปฏิบัตินอกกรอบ แต่มีความเป็นไปได้ แล้วนำมาลองใช้กันบ้าง
จะขอยกตัวอย่างแนวความคิด ของคนใกล้ตัว ที่เป็น ก.ตร.เลือกตั้ง คือ
พล.ต.อ.อชิรวิทย์ สุพรรณเภสัช ได้ให้สัมภาษณ์
น.ส.พ.ไทยโพสต์ ฉบับแทปลอยด์ ประจำวันอาทิตย์ ที่ 23 ม.ค.2554
ซึ่งผู้เขียนเห็นว่า
สมควรจะยกมาให้ท่านผู้อ่านพิจารณากันในวันนี้
เพราะนานๆครั้งจะมีคนคิดหาแนวทางใหม่
เพื่อแก้ไขปัญหาในเรื่องที่เป็นความทุกข์ของแผ่นดินกันอย่างจริงจัง
ก.ตร.หมาดๆผู้นี้ เขาได้ให้สัมภาษณ์เอาไว้ อย่างนี้ครับ....
“...ผมมีแนวคิดที่จะแก้ไขปัญหาภาคใต้ด้วย ได้เคยบรรยายในหลักสูตรต่างๆว่า
ถ้าแก้ไขปัญหาในแนวทางที่ผมศึกษามากว่า 40 ปี
ผมไม่เห็นด้วยกับ ‘การเมืองนำการทหาร’ หรอก
ผมจะใช้ ‘ศาสนานำการปกครอง’
ที่นั่นคนเคร่งศาสนา คนที่ไปอยู่ที่นั่นต้องยึดมั่นในศาสนา ต้องเป็นคนดี
การแก้ไขปัญหาต้องแก้ไขให้ถูกจุด
7 ข้อที่ ‘หะยีสุหรง’ ขอไว้ มีข้อใดบ้างที่ทำได้ ต้องทำ
เพราะฉะนั้น ผมหยิบปัญหาตรงนี้มาพิจารณา
วันนี้ผมเป็น ก.ตร. ผมจะผลักดันการรับบุคลากรตำรวจที่ 3 จังหวัด...ให้รับคนพื้นที่
วันนี้ ผมไปสำรวจตำรวจใน 3 จังหวัดถูกฆ่า
คนเป็นมุสลิมที่เกษียณและยังไม่เกษียณ ถูกฆ่ามาก
จนกระทั่งเหลือประมาณพันคนเท่านั้น ในอัตรากำลังที่มีอยู่ 12,000 คน
ถ้าวันนี้เราเปลี่ยนเอาคนพื้นที่อื่นที่ลงไป กลับไปปฏิบัติงานที่บ้านของเขา
และรับคนพื้นที่ทั้งหมด เราอาจจะรับ 2 ระดับ ชั้นประทวนในระดับที่จบปริญญา
แต่จบ ม.ปลาย หรือศาสนา ระดับ 10 ที่จบโรงเรียนธรรม เป็นคนที่รู้ศาสนาอิสลามดี
เรารับเพราะเทียบเท่า ม.ปลาย
ผมว่าเราเพิ่มตำรวจมุสลิม สัก 5,000 คน ใน 20 ปี ข้างหน้า
เราจะครองใจผู้คนได้ วางระบบการรับทั้งสัญญาบัตร
ในพื้นที่ที่เขามีพ่อแม่ลูกเมียอยู่ที่นั่น มีข้อแม้อย่างเดียวว่า
ต้องพูดอ่านเขียนไทยคล่อง ภาษาไทยต้องลึกซึ้ง
ผลจากการนี้ สมมติ 5,000 คน จะมีคนหันกลับมาเรียนภาษาไทยกันมากขึ้น
คนเหล่านี้จะไปเป็นตำรวจในพื้นที่
ที่สามารถสื่อสารประชาชนได้ในภาษาเดียวกัน
เข้าใจวัฒนธรรม มีศรัทธา ความเชื่อในศาสนาเดียวกัน
ความผสมกลมกลืนในพระบรมราโชวาท เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา ย่อมทำได้โดยง่าย
ทำเช่นนี้ลองคิดดูว่า 5,000 คูณ 20 คือ 10 จากฝ่ายพ่อแม่ของเขา
และ10 จากฝ่ายพ่อแม่ภรรยา เราจะได้คน 100,000 คน (หนึ่งแสนคน) มาเป็นพวกรัฐ
ถ้าเอาคนหนึ่งแสนคน ไปดูคน 2.3 ล้านเท่ากับ 1 ต่อ 23
คุณว่าการข่าว...จะดีขึ้นไหม?
การเข้าถึง(ประชาชน)...จะดีขึ้นไหม?
ก่อนจ่าเพียรตาย ก่อนผมจะลาออก ผมยังพูดกับท่านอดุลย์ (แสงสิงแก้ว) ว่า
พี่กลับไปนี่ พี่จะไปจัดสรรเงินกองทุนสวัสดิการ
ที่พี่เป็นคนหามา เอามาจัดศูนย์สอนภาษาถิ่น
เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานพูดภาษาถิ่นได้ การเข้าใจภาษาถิ่นก็เหมือนกับรู้เขารู้เรา
ฉะนั้น ปัญหาภาคใต้ผมว่าแก้ได้
แต่ไม่ได้แก้ด้วย ‘ราคาคุย’ ที่บอกว่า 6 เดือน 99 วัน 1 ปี ไม่มีทาง
ถ้าเรายอมรับความจริง ต้อง 1 generation ต้อง 20 ปี ผมตายไปแล้วนั่นแหละ
จะแก้ไขปัญหาภาคใต้ให้ลุล่วงได้ ต้อง ‘กลับความรู้สึก’ ของชาวบ้าน
เขาเป็นเจ้าของพื้นที่ เขาไม่อยากไปอยู่ประเทศอื่นหรอก แต่...
ให้เขามีเกียรติ มีศักดิ์ศรี รักษาอัตลักษณ์ เชื้อชาติมาลายูและ อิสลามของเขา
แต่ขณะเดียวกันในหลักศาสนาอิสลาม เกิดแผ่นดินไหน ก็เป็นของแผ่นดินนั้น
เขาเป็นคนไทย คนสยาม คนที่นั่นข้ามไปมาเลย์
เขาก็ไม่รับ เขาบอกว่าคุณไม่ใช่บุตรของแผ่นดิน (ภูมิปุตรา)
คุณเป็นคนสยาม! ...”
นั่นเป็นแนวความคิดนอกกรอบ ของคนที่เฝ้าติดตามศึกษาปัญหาที่เกิดขึ้นที่นั่นมานาน
แต่รัฐบาลยังไม่เคยคิด
รัฐบาลจะลองนำไปคิดต่อกันดู ก็คงไม่ผิดกติกาอันใด
สำหรับตัวผู้เขียนเองนั้น ก็มีแนวความคิดในเรื่องกลยุทธ์ในการลดปัญหาความรุนแรง
โดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อทั้งสองฝ่ายด้วย แต่การเสนอผ่านหน้าสื่อ
ดูจะไม่สมควร อย่างไรรับรองว่า ผมจะเสนอแน่...
ถ้าเรามีรัฐบาล ที่ดีกว่าชุดปัจจุบันนี้!
ปัญหาการก่อการร้ายที่ปักษ์ใต้นั้น ก็เป็นโจทก์ใหญ่ก็จริง
แต่โจทก์มหึมากว่า ผมว่ายังคงอยู่ที่กรุงเทพและจังหวัดทั่วไป
ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้เขียนเอง ไม่สบายใจเอามากๆ และต้องนำมาเล่าให้ท่านผู้อ่านฟัง คือ
ไม่กี่วันมานี้ ผมมีโอกาสได้นั่งแท็กซี่ และสนทนากับคนขับรถหลายเรื่อง
และคุยกันถึงเรื่องการโจมตีฐานทหาร เขาแสดงความเห็นด้วยความ ‘สะใจ’ ว่า
“สมน้ำหน้า แม่งงงงงง!”
ถามถึงเหตุผล เขาก็บอกว่า
ที่สะใจก็เพราะทหารได้แสดงความโหดเหี้ยม ในเหตุการณ์สังหารประชาชน
ที่ราชดำเนินและราชประสงค์ ปีที่แล้วนั่นเอง
ผมลองสดับตรับฟังดู ในฐานะที่ตัวเองก็เป็นมือข่าวเก่า
คนที่คิดอย่างโชเฟอร์แท็กซี่คนนี้ มีจำนวนไม่น้อยทีเดียว
คิดแล้วก็น่าใจหาย!
เมื่อครั้งที่บ้านเรา ยังที่การเผาศพทหารตำรวจและพลเรือน จำนวนมาก
ที่ต้องล้มตายไปในการสู้รบกับพรรคคอมมิวนิสต์
ณ เมรุวัดพระศรีมหาธาตุ เป็นประจำปี หลายปีติดต่อกัน
ในยุคนั้นเรามีพิธีพระราชทานเพลิงศพที่ให้กับผู้กล้าหาญ อย่างน่าประทับใจมาก
ประชาชนคนที่เป็นชาวบ้าน แม้จะไม่รู้จักผู้ตายคนไหนเลย
ต่างก็ไปร่วมงานอย่างคับคั่ง เพราะพวกเขาคิดว่า
คนเหล่านั้นเป็น ‘วีรบุรุษ’ เป็นผู้เสียสละให้ชาติไทยอันเป็นที่รักของเรา
เมื่อตายตามหน้าที่ พวกเขาก็ไปแสดงความเคารพ เป็นการเกียรติ กับ...
ผู้มีบุญคุณต่อแผ่นดิน!
มาถึงวันนี้ ทหารจะตายก็ตายไป ประชาชนคนส่วนใหญ่ของประเทศ
นอกจากไม่สนใจไต่ถามแล้ว ยังมีจำนวนมากที่สมน้ำหน้าให้เอาด้วย
อย่างนี้ก็มี!
ที่น่าแปลกใจจริงๆก็คือ เมื่อมีข่าวทหารไทยจะรบกับเขมร
ชาวบ้านคนไทยแท้ๆจำนวนไม่น้อย ก็พลอยดีใจ
เพราะอยากให้เขมร ช่วยล้างความรู้สึกคั่งแค้น ของพวกเขาออกไปบ้าง
หลังจากพี่น้องเพื่อนร่วมชาติ ต้องถูกกลุ่มทหารสังหาร อย่างทมิฬหินชาติ จนอื้ออึงไปทั่วโลก
ท่านผู้อ่านที่เคารพครับ
ยามนี้ คนในบ้านเมืองของเรา นอกจากหมดรักกันแล้ว
ยัง ‘เกลียดชัง’ กันอย่างลึกซึ้งอีกด้วย
น่าเป็นห่วงยิ่งนัก!
บ้านเมืองของเรา ไม่ใช่ ‘ไทยรัฐ’ แต่กลายเป็น ‘ไทยร้าว’ เสียแล้ว!!
...............
(คอลัมน์ ไทยรัฐ-ไทยร้าว ออนไลน์วันเสาร์ ที่ 29 มกราคม พ.ศ.2554)
http://www.vattavan.com/detail.php?cont_id=276
บันทึกการเข้า
« เมื่อ: วันนี้ เวลา 08:08:13 AM »
--------------------------------------------------------------------------------
สงครามยิงเกิดขึ้นในประเทศไทย
ซึ่งเราเรียกว่า “วันเสียงปืนแตก” เกิดขึ้นเมื่อ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2508
ซึ่งเป็นวันที่กองกำลังพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
ใช้อาวุธโจมตีกองกำลังของรัฐบาลไทยเป็นครั้งแรก
เหตุเกิดที่ บ้านนาบัว ตำบลเรณูนคร อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม
หลังจากนั้นเพียงสองปี ฐานปฏิบัติการตำรวจตระเวนชายแดนแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ
ได้ถูกผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ลอบเข้าตีตอนใกล้รุ่ง
ตัวนายตำรวจซึ่งทำหน้าที่ผู้บังคับหมวด
เป็นนายร้อยใหม่ๆเพิ่งสำเร็จจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ สามพราน
เขาและผู้ใต้บังคับบัญชายิงตอบโต้แบบสู้เย็บตา จนสามารถรักษาฐานที่มั่นเอาไว้ได้
และได้วิทยุรายงานเหตุการณ์ ไปยังกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน
พล.ต.ต.กระจ่าง ผลเพิ่ม รองผู้บัญชาการในขณะนั้น ตอบวิทยุ กลับไปว่า
“สมน้ำหน้า! ที่ถูกโจมตี ก็เพราะ...ขาดการลาดตระเวนรอบฐาน!!”
ตั้งแต่นั้นมา ผู้บังคับหมวดคนนี้ ก็ไม่เคยลืมคำตำหนิเชิงสั่งสอน ของผู้บังคับบัญชาท่านนี้เลย
นายตำรวจที่ผมเล่าให้ฟังนี้ เป็นลูกหม้อของตำรวจตระเวนชายแดน
ตั้งแต่มียศเป็นร้อยตำรวจตรี ต่อมาได้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการในที่สุด
และได้เกษียณอายุราชการไปหลายปีแล้ว
เมื่อ 4 ม.ค.พ.ศ.2547 ค่ายทหาร ที่ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส
ชื่อ ‘ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์’ ถูกผู้ก่อการร้ายเข้ายึด และฆ่าทหาร
ปล้นเอาอาวุธปืนไปเป็นจำนวนมาก
ผู้คนตกตะลึง!
นับว่าเป็นค่ายทหารที่ถูกตีแตกพ่าย เป็นครั้งแรก
ในรอบกว่า 200 ปี ของประวัติศาสตร์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์!
ขายขี้หน้า...เป็นที่สุด!!
ในครั้งนั้น ผมยังอยู่ที่ค่าย ‘ผู้จัดการ’ ก็ได้เขียนบทวิพากษ์วิจารณ์รุนแรง และคิดว่า
เหตุการณ์ที่ถูกผู้ก่อการร้ายสั่งสอนเอาในครั้งนั้น
น่าจะเป็นบทเรียนให้ฝ่ายทหาร คิดทบทวนหามาตรการป้องกัน
เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่น่าอับอายเช่นนี้อีก
ความคาดหมายของผม...ผิดไป!
ปีใหม่ปีนี้เพิ่งผ่านไปไม่เท่าไร
ในวันที่ 18 ม.ค.2554 ผู้ก่อการร้ายไม่ได้ได้บุกปล้นค่ายทหารอีกก็จริง
แต่ครั้งนี้บุกเข้าถล่มฐานทหาร “พระองค์ดำ” ของฉก.นราธิวาส 38
เป็นเหตุให้นายทหารหนุ่มยศร้อยเอก กำลังจะแต่งงาน ต้องสังเวยชีวิต
พร้อมผู้ใต้บังคับบัญชาอีกหลายนายไป อย่างน่าเสียดาย
ปืนในคลังถูกปล้นไปกว่า 50 กระบอกพร้อมกระสุนอีกกว่า 5,000 นัด
การโจมตีครั้งนี้ มีลักษณะอุกอาจ มีการวางแผนเป็นอย่างดี
ยิ่งกว่าการปล้นค่ายทหารครั้งแรก ที่อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส...
ใช่แต่เพียงแค่นั้น...
ต่อมาอีกไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ ชาวบ้าน จะไปเก็บหาของป่า
ถูกระเบิดของฝ่ายผู้ก่อการร้าย ตายไปอีก 9 ศพ น่าอเนจอนาถนัก
เหตุเกิดที่อำเภอยะหา จังหวัดยะลา
สะเทือนขวัญราษฎร เป็นอย่างยิ่ง!
การโจมตีฐานทหาร เมื่อ 18 ม.ค.2554 นั้น ในวันเกิดเหตุ
มีทหารพักถึงครึ่งหนึ่งของกำลังที่มีอยู่ ซึ่งการพักในพื้นที่ซึ่งมีสถานการณ์เข้มข้นนั้น
โดยปกติแล้วเขาจะพักกัน 1 ใน 5 ของกำลังที่มีอยู่
ในวันดังกล่าว มีทหารอยู่ในฐานน้อย ทั้งนี้
อาจเป็นเพราะทหารมีภารกิจในการรับทั้งนายกฯ
และผู้บังคับบัญชาของตนมาแล้วก่อนหน้านั้น เลยทำให้บางส่วนพักซ้อนกัน
นอกจากนั้นในวันที่โดนโจมตี หน่วยทหารเรือฝ่ายนาวิกโยธิน
มีการจัดเลี้ยงในวันกองทัพไทยในเมือง
ทางฐานก็ต้องมีกำลังทหารจากฐานนี้ ไปร่วมงานตามธรรมเนียมด้วย
ดังนั้น ความระมัดระวังตามปกติถดถอยลง
การดูแลรักษาความปลอดฐานจึงย่อหย่อนลง
และ เรื่องการจัดชุดลาดตระเวนรอบฐาน ก็คงไม่ได้ทำ
ความสูญเสียจึงเกิดขึ้น!
ผู้บัญชาการทหารบก คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งรับผิดชอบกองทัพบก
นอกจากจะหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบไม่ได้ แล้ว
ยังไม่ได้ออกมาพูดจาให้ความอุ่นใจกับประชาชน
แต่กลับบอกว่า ประชาชนไม่ควรวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของทหารเสียอีกด้วย
ตัวท่าน ผบ.ทบ.เอง ก็เพิ่งมีปัญหากับสื่อ
เพราะการออกอารมณ์ฉุนเฉียว จนถูกวิพากษ์วิจารณ์เอามากๆ เมื่อไม่นานมานี้
มาคราวนี้ก็เอาอีก ด้วยการพูดจา ‘ขัดหู’ ชาวบ้าน
ผมคิดว่า สื่อมวลชนมีสิทธิ์ไต่ถามเรื่องที่เกิดขึ้น
เพราะประชาชนเองก็มีสิทธิ์รู้ว่า กองทัพมีประสิทธิภาพมากแค่ไหน
ในการรักษาแผ่นดินของบรรพบุรุษผืนนี้ ซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้อาสามาทำหน้าที่ ‘ทหาร’
และบัดนี้ได้รับมอบอำนาจจากรัฐบาลนี้ ให้ดูแลรับผิดชอบเหนือหน่วยราชการอื่นๆ
แต่กลับทำงานไม่ ‘เข้าตา’ ชาวบ้าน แล้วยังมาพูดจาในทำนองต่อว่าชาวบ้านเสียอีก
ยิ่งกลายเป็น ‘ขี้ปาก’ ผู้คนหนักขึ้นอีก!
ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มาก คือการแสดงออกด้วยภาษากายของท่าน
มีการออกแอ๊คชั่นลีลาด้วยท่าทาง ที่เหมือนจะพยายามแสดงว่า
เป็นคนเอาจริงและดุดัน คล้ายตั้งใจทำให้ภาพลักษณ์ออกมาดูเหี้ยมเกรียมน่ากลัว
แต่แทนที่ชาวบ้านจะกลัว เขากลับมีความไต่ถามกันว่า
‘เว่อร์’ เกินเหตุไป หรือเปล่า!!?
การที่ พล.อ.ประยุทธ์ฯมาเป็น ผบ.ทบ.นั้น ทั้งสื่อและประชาชนก็ทราบดีว่า
ตัวท่านเองยังไม่เคยมีประวัติในการรบ จนเป็นที่ประทับใจทหารและชาวบ้าน
เหมือนกับอดีตผู้บังคับบัญชาทหารบกบางท่าน
แต่นั่น ยังไม่ใช่ประเด็น...
เรื่องหลักจริงๆอยู่ตรง ทั้งสื่อและชาวบ้าน เขาต้องการทราบว่า
เมื่อมีเหตุร้ายอย่างนี้เกิดขึ้นในยุคสมัยที่ท่านรับผิดชอบ
ท่านและกองทัพบก มีกลยุทธ์ที่จะใช้แก้ปัญหาภาคใต้นั้นได้ดีแค่ไหน?
ตรงนี้และที่สำคัญ!
สำหรับสื่อและประชาชน เขาเห็นว่าการก่อการร้ายที่ปลายด้ามขวานของไทยเรา
มีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น และนี่เอง คงชี้ให้เห็นว่า
ท่าน ผบ.ทบ.มี ‘กึ๋น’ อยู่แค่ไหน!!?
ขอบอกกันตรงๆ เลยว่า
ความเป็นผู้นำหน่วย ที่จะทำให้ผู้คนเขาเคารพนับถือ
นอกจากมีความสามารถในการนำหน่วยแล้ว การพูดจากับสาธารณะชน
ไม่ว่าจะเป็นสื่อหรือประชาชน ควรจะแสดงความเป็น ‘ผู้ดี’
และที่สำคัญจะต้องแสดงความเป็น ‘มิตร’ด้วยน้ำใสใจจริง
จึงจะเอาชนะใจชาวบ้านได้!
หาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.
หากท่านต้องการที่จะลดการวิพากษ์วิจารณ์ ของสื่อและชาวบ้าน นั้น
ท่านจะต้องทำให้กองทัพ มีประสิทธิภาพมากกว่าที่เป็นอยู่
และต้องมีความตั้งใจจริง ที่จะกวาดล้างทุจริตในกองทัพ
ซึ่งบ่อนทำลายและกัดเซาะความเชื่อมั่นของผู้คน
รวมทั้งคนในกองทัพด้วย!!
ผมอยากให้ท่านลองศึกษาเรื่องเจ้ากรมทหารสื่อสาร ยศ พล.อ. 3 นาย
ที่ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลไปเรียบร้อย
และยกเป็นตัวอย่างเตือนใจทหารผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านด้วย
นี่ยังไม่นับรวมเองคอรัปชั่นในกองทัพอื่นๆ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง “เรือเหาะ” ที่ไม่เคยเหาะได้เหมือนชื่อ
หรือเรื่อง “ไม้ชี้หลุมขี้” ที่พี่น้องประชาชน เขาพากันขบขันปนสมเพชไปทั้งประเทศ
แล้วพากันพูดเป็นเสียงเดียวว่า
“ทำไมมัน ‘ทุเรศ’ อย่างนี้! (วะ)”
ดูอย่างกลุ่มพันธมารที่กำลังไปเปิดเวทีอยู่ที่มัฆวาน
ยังเอาเรื่องคอรัปชั่นของทหารมาด่าโครมๆ ผมไม่เห็นมีทหารหน้าไหน ออกไปเถียงว่า...
พวกตัวเองนั้น ไม่ได้คดโกงแผ่นดินสักคน หรือไม่กล้าสู้หน้าพวกพันธมารก็ไม่รู้
กลัวกันมาก...ขนาดนั้นเลยหรือ?
สรุปว่า พล.อ.ประยุทธ์ฯ จะต้องหมั่นเตือนผู้ใต้บังคับบัญชา
ในเรื่องความซื่อสัตย์ต่อแผ่นดิน
และตัวท่านเอง ก็จะต้องทำตัวให้เป็นแบบอย่างอันดีด้วย
ก็เตือนกันไว้ แค่นี้แหละ!!
การแก้ไขปัญหาภาคใต้นั้น มีการทุ่มเทงบประมาณมหาศาล
แต่ผลที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้เป็นอย่างที่หวัง ความรุนแรงก็กลับเพิ่มมากขึ้น
แม้ทางทหารและทางราชการ จะออกมาโปรปะกันดา ผ่านช่องทางต่างๆว่า
สถานการณ์ค่อยๆดีขึ้นเป็นลำดับ
การก่อการร้ายเป็นรายครั้งลดลง ระดับความรุนแรงลดลง
เสร็จแล้วกล่าวสรุปสถานการณ์ ด้วยคำกล่าวที่เป็น cliché หรือซ้ำซากน่าเบื่อหน่ายว่า
เรามาถูกทางแล้ว!
ผมคิดว่า ในการแก้ปัญหาภาคใต้นั้น
จะต้องมีการศึกษาหนทางปฏิบัตินอกกรอบ แต่มีความเป็นไปได้ แล้วนำมาลองใช้กันบ้าง
จะขอยกตัวอย่างแนวความคิด ของคนใกล้ตัว ที่เป็น ก.ตร.เลือกตั้ง คือ
พล.ต.อ.อชิรวิทย์ สุพรรณเภสัช ได้ให้สัมภาษณ์
น.ส.พ.ไทยโพสต์ ฉบับแทปลอยด์ ประจำวันอาทิตย์ ที่ 23 ม.ค.2554
ซึ่งผู้เขียนเห็นว่า
สมควรจะยกมาให้ท่านผู้อ่านพิจารณากันในวันนี้
เพราะนานๆครั้งจะมีคนคิดหาแนวทางใหม่
เพื่อแก้ไขปัญหาในเรื่องที่เป็นความทุกข์ของแผ่นดินกันอย่างจริงจัง
ก.ตร.หมาดๆผู้นี้ เขาได้ให้สัมภาษณ์เอาไว้ อย่างนี้ครับ....
“...ผมมีแนวคิดที่จะแก้ไขปัญหาภาคใต้ด้วย ได้เคยบรรยายในหลักสูตรต่างๆว่า
ถ้าแก้ไขปัญหาในแนวทางที่ผมศึกษามากว่า 40 ปี
ผมไม่เห็นด้วยกับ ‘การเมืองนำการทหาร’ หรอก
ผมจะใช้ ‘ศาสนานำการปกครอง’
ที่นั่นคนเคร่งศาสนา คนที่ไปอยู่ที่นั่นต้องยึดมั่นในศาสนา ต้องเป็นคนดี
การแก้ไขปัญหาต้องแก้ไขให้ถูกจุด
7 ข้อที่ ‘หะยีสุหรง’ ขอไว้ มีข้อใดบ้างที่ทำได้ ต้องทำ
เพราะฉะนั้น ผมหยิบปัญหาตรงนี้มาพิจารณา
วันนี้ผมเป็น ก.ตร. ผมจะผลักดันการรับบุคลากรตำรวจที่ 3 จังหวัด...ให้รับคนพื้นที่
วันนี้ ผมไปสำรวจตำรวจใน 3 จังหวัดถูกฆ่า
คนเป็นมุสลิมที่เกษียณและยังไม่เกษียณ ถูกฆ่ามาก
จนกระทั่งเหลือประมาณพันคนเท่านั้น ในอัตรากำลังที่มีอยู่ 12,000 คน
ถ้าวันนี้เราเปลี่ยนเอาคนพื้นที่อื่นที่ลงไป กลับไปปฏิบัติงานที่บ้านของเขา
และรับคนพื้นที่ทั้งหมด เราอาจจะรับ 2 ระดับ ชั้นประทวนในระดับที่จบปริญญา
แต่จบ ม.ปลาย หรือศาสนา ระดับ 10 ที่จบโรงเรียนธรรม เป็นคนที่รู้ศาสนาอิสลามดี
เรารับเพราะเทียบเท่า ม.ปลาย
ผมว่าเราเพิ่มตำรวจมุสลิม สัก 5,000 คน ใน 20 ปี ข้างหน้า
เราจะครองใจผู้คนได้ วางระบบการรับทั้งสัญญาบัตร
ในพื้นที่ที่เขามีพ่อแม่ลูกเมียอยู่ที่นั่น มีข้อแม้อย่างเดียวว่า
ต้องพูดอ่านเขียนไทยคล่อง ภาษาไทยต้องลึกซึ้ง
ผลจากการนี้ สมมติ 5,000 คน จะมีคนหันกลับมาเรียนภาษาไทยกันมากขึ้น
คนเหล่านี้จะไปเป็นตำรวจในพื้นที่
ที่สามารถสื่อสารประชาชนได้ในภาษาเดียวกัน
เข้าใจวัฒนธรรม มีศรัทธา ความเชื่อในศาสนาเดียวกัน
ความผสมกลมกลืนในพระบรมราโชวาท เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา ย่อมทำได้โดยง่าย
ทำเช่นนี้ลองคิดดูว่า 5,000 คูณ 20 คือ 10 จากฝ่ายพ่อแม่ของเขา
และ10 จากฝ่ายพ่อแม่ภรรยา เราจะได้คน 100,000 คน (หนึ่งแสนคน) มาเป็นพวกรัฐ
ถ้าเอาคนหนึ่งแสนคน ไปดูคน 2.3 ล้านเท่ากับ 1 ต่อ 23
คุณว่าการข่าว...จะดีขึ้นไหม?
การเข้าถึง(ประชาชน)...จะดีขึ้นไหม?
ก่อนจ่าเพียรตาย ก่อนผมจะลาออก ผมยังพูดกับท่านอดุลย์ (แสงสิงแก้ว) ว่า
พี่กลับไปนี่ พี่จะไปจัดสรรเงินกองทุนสวัสดิการ
ที่พี่เป็นคนหามา เอามาจัดศูนย์สอนภาษาถิ่น
เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานพูดภาษาถิ่นได้ การเข้าใจภาษาถิ่นก็เหมือนกับรู้เขารู้เรา
ฉะนั้น ปัญหาภาคใต้ผมว่าแก้ได้
แต่ไม่ได้แก้ด้วย ‘ราคาคุย’ ที่บอกว่า 6 เดือน 99 วัน 1 ปี ไม่มีทาง
ถ้าเรายอมรับความจริง ต้อง 1 generation ต้อง 20 ปี ผมตายไปแล้วนั่นแหละ
จะแก้ไขปัญหาภาคใต้ให้ลุล่วงได้ ต้อง ‘กลับความรู้สึก’ ของชาวบ้าน
เขาเป็นเจ้าของพื้นที่ เขาไม่อยากไปอยู่ประเทศอื่นหรอก แต่...
ให้เขามีเกียรติ มีศักดิ์ศรี รักษาอัตลักษณ์ เชื้อชาติมาลายูและ อิสลามของเขา
แต่ขณะเดียวกันในหลักศาสนาอิสลาม เกิดแผ่นดินไหน ก็เป็นของแผ่นดินนั้น
เขาเป็นคนไทย คนสยาม คนที่นั่นข้ามไปมาเลย์
เขาก็ไม่รับ เขาบอกว่าคุณไม่ใช่บุตรของแผ่นดิน (ภูมิปุตรา)
คุณเป็นคนสยาม! ...”
นั่นเป็นแนวความคิดนอกกรอบ ของคนที่เฝ้าติดตามศึกษาปัญหาที่เกิดขึ้นที่นั่นมานาน
แต่รัฐบาลยังไม่เคยคิด
รัฐบาลจะลองนำไปคิดต่อกันดู ก็คงไม่ผิดกติกาอันใด
สำหรับตัวผู้เขียนเองนั้น ก็มีแนวความคิดในเรื่องกลยุทธ์ในการลดปัญหาความรุนแรง
โดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อทั้งสองฝ่ายด้วย แต่การเสนอผ่านหน้าสื่อ
ดูจะไม่สมควร อย่างไรรับรองว่า ผมจะเสนอแน่...
ถ้าเรามีรัฐบาล ที่ดีกว่าชุดปัจจุบันนี้!
ปัญหาการก่อการร้ายที่ปักษ์ใต้นั้น ก็เป็นโจทก์ใหญ่ก็จริง
แต่โจทก์มหึมากว่า ผมว่ายังคงอยู่ที่กรุงเทพและจังหวัดทั่วไป
ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้เขียนเอง ไม่สบายใจเอามากๆ และต้องนำมาเล่าให้ท่านผู้อ่านฟัง คือ
ไม่กี่วันมานี้ ผมมีโอกาสได้นั่งแท็กซี่ และสนทนากับคนขับรถหลายเรื่อง
และคุยกันถึงเรื่องการโจมตีฐานทหาร เขาแสดงความเห็นด้วยความ ‘สะใจ’ ว่า
“สมน้ำหน้า แม่งงงงงง!”
ถามถึงเหตุผล เขาก็บอกว่า
ที่สะใจก็เพราะทหารได้แสดงความโหดเหี้ยม ในเหตุการณ์สังหารประชาชน
ที่ราชดำเนินและราชประสงค์ ปีที่แล้วนั่นเอง
ผมลองสดับตรับฟังดู ในฐานะที่ตัวเองก็เป็นมือข่าวเก่า
คนที่คิดอย่างโชเฟอร์แท็กซี่คนนี้ มีจำนวนไม่น้อยทีเดียว
คิดแล้วก็น่าใจหาย!
เมื่อครั้งที่บ้านเรา ยังที่การเผาศพทหารตำรวจและพลเรือน จำนวนมาก
ที่ต้องล้มตายไปในการสู้รบกับพรรคคอมมิวนิสต์
ณ เมรุวัดพระศรีมหาธาตุ เป็นประจำปี หลายปีติดต่อกัน
ในยุคนั้นเรามีพิธีพระราชทานเพลิงศพที่ให้กับผู้กล้าหาญ อย่างน่าประทับใจมาก
ประชาชนคนที่เป็นชาวบ้าน แม้จะไม่รู้จักผู้ตายคนไหนเลย
ต่างก็ไปร่วมงานอย่างคับคั่ง เพราะพวกเขาคิดว่า
คนเหล่านั้นเป็น ‘วีรบุรุษ’ เป็นผู้เสียสละให้ชาติไทยอันเป็นที่รักของเรา
เมื่อตายตามหน้าที่ พวกเขาก็ไปแสดงความเคารพ เป็นการเกียรติ กับ...
ผู้มีบุญคุณต่อแผ่นดิน!
มาถึงวันนี้ ทหารจะตายก็ตายไป ประชาชนคนส่วนใหญ่ของประเทศ
นอกจากไม่สนใจไต่ถามแล้ว ยังมีจำนวนมากที่สมน้ำหน้าให้เอาด้วย
อย่างนี้ก็มี!
ที่น่าแปลกใจจริงๆก็คือ เมื่อมีข่าวทหารไทยจะรบกับเขมร
ชาวบ้านคนไทยแท้ๆจำนวนไม่น้อย ก็พลอยดีใจ
เพราะอยากให้เขมร ช่วยล้างความรู้สึกคั่งแค้น ของพวกเขาออกไปบ้าง
หลังจากพี่น้องเพื่อนร่วมชาติ ต้องถูกกลุ่มทหารสังหาร อย่างทมิฬหินชาติ จนอื้ออึงไปทั่วโลก
ท่านผู้อ่านที่เคารพครับ
ยามนี้ คนในบ้านเมืองของเรา นอกจากหมดรักกันแล้ว
ยัง ‘เกลียดชัง’ กันอย่างลึกซึ้งอีกด้วย
น่าเป็นห่วงยิ่งนัก!
บ้านเมืองของเรา ไม่ใช่ ‘ไทยรัฐ’ แต่กลายเป็น ‘ไทยร้าว’ เสียแล้ว!!
...............
(คอลัมน์ ไทยรัฐ-ไทยร้าว ออนไลน์วันเสาร์ ที่ 29 มกราคม พ.ศ.2554)
http://www.vattavan.com/detail.php?cont_id=276
บันทึกการเข้า
แก้ไขล่าสุดโดย lucky m. เมื่อ Sat Mar 26, 2011 8:31 pm, ทั้งหมด 4 ครั้ง
lucky m.- Hero gen.seh member
- จำนวนข้อความ : 2803
Join date : 12/06/2010
Re: Hijack ประเทศไทย!!!วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
เป้นบทความที่มีข้อมูลดีมาก "นายทหาร"ทั้งหลาย แม่งงงงจะรู้จักแหกตาดูหรือเปล่าล่ะนี่ เด๋วเหอะ ถ้า"ไทยรัฐ"(ในบทความนี้คงไม่ได้หมายถึงชื่อหนังสือพิมพ์นะ)เป็นไรไปนะ จะ‘สะใจ’ และบอกว่า“สมน้ำหน้า แม่งงงงงง!”
goosehhardcore- Hero gen.seh member
- จำนวนข้อความ : 6012
Join date : 12/06/2010
ที่อยู่ : Bangkok Thailand
Re: Hijack ประเทศไทย!!!วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
บทความแกเขียนดีมากเลยค่ะป้า อ่านยังไม่ทันจบเลย โดนใจวายรุ่นนี้ปั๊บเลย แต่ยาวไปหน่อย เอาน่า...ยังไงก็โดนใจทุกบรรทัดแล้วกัน
lucky m.- Hero gen.seh member
- จำนวนข้อความ : 2803
Join date : 12/06/2010
Re: Hijack ประเทศไทย!!!วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
ไอ้คนหนีทหาร มันลากชาติไทยเรา เข้าสู่…สงคราม!!!
วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
เมื่อ ออกรับราชการทางภาคอีสาน กว่า 40 ปี ก่อนนั้น ผมได้เรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับคนอีสานด้วยความสนใจ อาจเป็นเพราะต้นตระกูลฝ่ายบิดาของตัวเอง เป็นคน ‘ไทยโคราช’ โดยคุณปู่มีภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่ บ้านน้ำเมา (ชื่อดี๊ดี) ตำบลลาดบัวขาว อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา จึงมีคนนามสกุลเดียวกัน อยู่ที่อำเภอนี้มีจำนวนพอสมควร
ถ้าไปตามถนนมิตรภาพมุ่งหน้าไปโคราช ทางเข้าบ้านน้ำเมาจะอยู่ซ้ายมือ และเลยจากทางเข้าบ้านน้ำเมาไปหน่อย ระหว่างกิโลเมตรที่ 206-207 ทางด้านขวามือของถนนมิตรภาพ จะมีป้ายบอกจุดท่องเที่ยวว่า
“แหล่งหินตัด”
แหล่งหินดังกล่าว เป็นเนินเขาที่เต็มไปด้วยหินทราย ที่ยังปรากฏร่องรอยของการสกัดหิน เป็นร่องลึกรูปสี่เหลี่ยมขนาดต่างๆ อยู่หลายแนว คล้ายกับก้อนขนมเค้ก และยังคงทิ้งร่องรอยของคมสิ่ว ที่ใช้เป็นเครื่องมือในการสกัดเอาไว้ชัดเจน
สันนิษฐานกันว่า พวกขอมคงจะนำหินทรายจากบริเวณนี้ ไปสร้างปราสาทหินหลายแห่ง ที่ตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียง
เมื่อขอมมีอิทธิพลในสุวรรณภูมินั้น ราวพุทธศตวรรษที่ 17 ศูนย์กลางแห่งอำนาจอยู่ที่เมือง ‘พิมาย’ และอิทธิพลขอมได้แผ่ข้ามทิวเขาพนมดงรัก ไปครอบคลุมถึงเมืองปราจีนบุรีด้วย
ด้วยความสงสัย ผมเคยถามท่านอาจารย์ จุลทรรศน์ พยาฆรานนท์ ราชบัณฑิตว่า
“ขอมขนหินพวกนี้ ไปได้อย่างไรกันครับ?”
ได้รับคำตอบว่า
หินทรายที่ถูกตัด จะมีรูพรุนตามธรรมชาติอยู่ การขนหินในยุคนั้น คนโบราณจะตัดไม้ไผ่ เป็นท่อนยาวๆ แล้วใช้ไม้ไผ่แยงไปตรงรูร่องของหิน แล้วแรงคนช่วยกันดันหินแต่ละก้อน ให้เคลื่อนที่ไปยังจุดหมายที่ต้องการ
แต่... วันหนึ่งๆ จะไปได้ไกลแค่ไหนกันนะ?
ผมเองยังไม่เคยลอง จึงไม่ทราบ แต่คิดว่า กว่าพวกเขาจะขนหินนับหมื่นนับแสนก้อน ไปสร้างเป็นองค์ปราสาทใหญ่โตได้ และเป็นการก่อสร้างศาสนสถาน ตามคติความเชื่อเรื่องการสถาปนาพระราชอำนาจ ของกษัตริย์ขอม ผ่าน‘ลัทธิเทวะราช’ นั้น
คงต้องใช้คนจำนวนมากมาย และทุนทรัพย์มหาศาล จึงจะสร้างปราสาทหินหลังหนึ่งๆ สำเร็จลงได้ อีกทั้งคงต้องใช้เวลานานนับสิบๆปีเดียว
ดังนั้น ความทุกข์ยากของแรงงานที่ถูกเกณฑ์มา คงจะแสนสาหัสทีเดียว ผู้คนคงจะต้องล้มตายกันเป็นจำนวนมาก เพราะงานคงหนัก อีกทั้งไข้ป่าแถบนั้น ก็ชุกชุมเหลือกำลัง หยูกยาก็ไม่มี และการรักษาพยาบาลก็จำกัด คงเป็นเหตุให้จำนวนผู้เสียชีวิตระหว่างการก่อสร้าง อาจเป็นเรือนหมื่นเป็นแสน ก็คงจะเป็นไปได้
คำถามต่อไป มีอยู่ว่า
แล้วผู้คนที่เป็นแรงงาน มาจากไหนกันล่ะ?
ตรงนี้พอตอบได้ว่า ส่วนที่ควบคุมการก่อสร้าง คงจะเป็นขอม แต่แรงงานน่าจะเป็นคนท้องถิ่น ซึ่งน่าจะเป็นบรรพบุรุษของคนอีสานในปัจจุบันนี่แหละ
ข้อสงสัยอีกประการหนึ่ง คือ
‘ขอม’ กับ ‘เขมร’ เป็นชนชาติเดียวกันหรือไม่?
นี่เป็นคำถามโลกแตก ถกเถียงกันได้อย่างไม่มีข้อยุติ แต่เอาเป็นว่า เมื่อขอมกลายเป็นเขมร ก็ต้องตกอยู่ในอำนาจของไทยมาช้านาน และพ้นจากการปกครองของไทย ก็ตกเป็นขี้ข้าฝรั่งเศสอยู่อีกหลายทศวรรษ
อย่างไรก็ตาม พอสรุปได้ว่า
การ ก่อสร้างปราสาทใหญ่โต ใช้ทุนทรัพย์และชีวิตคนจำนวนมหาศาล ในที่สุดผู้คนทนความทุกข์ยากไม่ไหว ก็กระด้างกระเดื่อง หรือหลบหนีไปจากแผ่นดินที่มีการกดขี่
อาณาจักรขอมรุ่งเรืองใหญ่โตเพราะ ‘หิน’ แต่สุดท้าย จักรวรรดิของพวกเขา ก็ล่มสลายลงเพราะ ‘หิน’ เช่นเดียวกัน!
ถึงกระนั้น สิ่งก่อสร้างที่เป็นทำด้วยหินในรูปปราสาท ยังทรงความสำคัญอยู่ในความรู้สึก หรือจะเรียกให้ทันสมัยก็คือ ยังอยู่ในจิตวิญญาณของผู้คนในแผ่นดินกัมพูชา ซึ่งคนเขมรเชื่อกันว่าขอมที่รังสรรค์ปราสาทหิน ให้เป็นอลังการงานสร้างนั้น เป็นบรรพบุรุษของพวกเขานั่นเอง
ด้วยเหตุผลดังกล่าว เราจึงได้เห็นรูปปราสาทหินสีขาวอย่าง ‘นครวัด’ ปรากฏอยู่กลางธงชาติกัมพูชา
ความสำคัญสำหรับปราสาทหิน สำหรับชาวเขมรนั้น มีมากจริงๆ เพราะปราสาทหินนั้น เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ แสดงความเป็น ‘ชาติ’ ของพวกเขา และนี่คงจะเป็นเหตุผล ทำให้เราชาวไทยคิดได้ว่า
ทำไมเขมรจึงดิ้นรนสุดขีด เพื่อจะครอบครองปราสาทหินอย่าง ‘เขาพระหาร’ เอาไว้ให้ได้!?
คนไทยในปัจจุบันหรือแม้ในอดีต ก็ไม่มีความรู้สึกซาบซึ้งหรือผูกพันกับปราสาทหิน อย่างที่คนเขมร แต่ถึงกระนั้น ปราสาทหินที่เขาพระวิหาร ยังดันกลายเป็นปัญหาของบ้านเราจนได้
คนอีสาน นั้น ถูกอิทธิพลจากขอมครอบงำหลายศตวรรษ จนขอมเสื่อมอำนาจ แผ่นดินอีสานก็ตกอยู่ใต้การปกครองของกษัตริย์ในยุคอยุธยา และรัตนโกสินทร์ มาจนถึงปัจจุบัน
หลังกึ่งพุทธกาลไม่นาน ตอนผู้เขียนออกรับราชการทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้เห็นผู้หญิงอีสานนุ่งผ้าถุงสองชั้นให้นึกแปลกใจ โดยเฉพาะยิ่งผู้หญิงภาคนี้ ที่เข้าไปรับจ้างทำงานตามบ้านที่กรุงเทพ (สมัยนั้นคนอีสานยังเรียกการไปกรุงเทพ ว่า “ไปไทย”) ซึ่งมีอยู่มากหลังกึ่งพุทธกาล
พวกเธอนุ่งผ้าถุง 2 ชั้น หรือ 2 ผืน!
ยังนึกสงสัยอยู่ว่า ทำไมพวกเธอต้องนุ่งอย่างนั้น แต่เมื่อสอบถามผู้เฒ่าผู้แก่ดูแล้ว ก็ได้ความว่า
การที่ถูกครอบงำโดยอิทธิพลต่างถิ่น บางครั้งก็ต้องถูกกวาดต้อนไปเป็นแรงงานของชนชาติที่มีอำนาจ เลยทำให้คนอีสานต้องเตรียมพร้อมเสมอ สำหรับ...
‘การอพยพ’
ผู้หญิงต้องนุ่งผ้าถุง 2 ชั้น เพื่อจะมีไว้ผลัดยามต้องเดินทางรอนแรมยามหนีศัตรู หรือเมื่อถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย และคงติดจนกลายเป็นความเคยชิน ที่ฝังลึกจิตใจของชาวอีสานสืบต่อกันมาเพราะการที่จะต้องอพยพ ย้ายถิ่นที่อยู่บ่อยครั้งนั่นเอง
ดังนั้น เมื่อเกิดการรบพุ่งระหว่างไทยกับเขมรครั้งล่าสุด ที่อุบัติขึ้นเมื่อเดือน ก.พ.2554 ไม่กี่วันมานี้ เป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี พี่น้องผู้หญิงชาวอีสานที่ต้องออกจากบ้าน ไปยังที่พักพิงใน ‘ศูนย์อพยพ’ ชั่วคราว ที่ทางการจัดให้ มีจำนวนมากที่นุ่งผ้าถุงสองชั้น เหมือนอย่างที่บรรพบุรุษเคยทำมาก่อน ยามเมื่อต้องพลัดที่นาคาที่อยู่ หรือต้องหนีภัยสงคราม
ใครเลยจะนึกว่า วันหนึ่งเราต้องเห็นพี่น้องชาวอีสาน จำนวนนับเป็นหมื่นๆ ต้องออกอพยพออกจากบ้านเรือนตนเอง ไปหาที่ปลอดภัย
เพราะภัยสงคราม!
ที่ไปไม่ทัน ก็ต้องลงหลุมหลบภัย หรือไม่ก็ต้องทำตัวเป็น ‘หนู’ ไปมุดหรือคลานลง ตามท่อที่เตรียมไว้ เพื่อเอาชีวิตรอด
น่าอนาถเหลือกำลัง!
นี่เป็นเพราะ ‘ความล้มเหลว’ ในการบริหารบ้านเมือง ของนายมาร์ค มุกควาย กับรัฐบาลกาลีโคตรคอรัปชั่นของเขา เพราะ รัฐบาลโลซกนี้ ได้ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างไทยเรากับประเทศกัมพูชา
จนย่อยยับ!
นายมาร์ค มุกควาย ได้ทำให้ประเทศไทยเรา ซึ่งในยุคของนายกทักษิณฯนั้น ผมเคยเล่าให้ฟังแล้วว่า คุณเตช บุนนาค ได้ให้สัมภาษณ์ว่า
ไทยเราเคยมีเกียรติภูมิ เป็นผู้นำในเวทีอาเซียน แต่บัดนี้เมืองไทยเรากลาย เป็นที่เกลียดชังของประเทศเพื่อนบ้านรอบตัว
จนต้องมี ‘ภาวะสงคราม’ ในที่สุด!
การสงครามครั้งนี้ แม้ฝ่ายไทยโดยรัฐบาลโลซก พยายามเหลือเกินที่จะไม่เรียกว่าเป็น ‘สงคราม’ โดยพยายามเฉไฉไปใช้คำอื่น เช่น คำว่า “การปะทะกันตามแนวชายแดน” แต่ประเทศคู่ศึกคือกัมพูชา เขาเรียกการสู้รบระหว่างสองประเทศ เต็มปากเต็มคำว่า “สงคราม” และเรียกทหารที่ถูกจับได้ว่า
“เชลยศึก”
จะไม่เป็นสงครามได้อย่างไร เมื่อฝ่ายเขมรเขาบอกว่าเป็นสงครามที่แท้จริง อีกทั้งเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงพนมเปญ ก็เซ็นเอกสารรับตัวทหารเชลย ซึ่งทำขึ้นตามกฎกาชาดสากล อันว่าด้วย ‘การมอบ-รับเชลยศึก’ ต่อหน้าคณะทูตทหารประจำกรุงพนมเปญหลายประเทศ
การสงครามกับเขมรครั้งนี้ นายมาร์ค มุกควาย คงไม่รู้สึกถึงความเดือดร้อนราษฎร (อาจเพลินกับการเล่นเฟซบุคมากกว่า) แต่ปรากฏว่า
[img][/img]
ราษฎรต้องบาดเจ็บล้มตาย บ้านเรือนของประชาชนโรงเรียนฯลฯ พังพินาศ เกิดเพลิงลุกไหม้ ฉิบหายสิ้นชุมชนชาวไทยได้รับความเสียหายหนัก
พี่น้องประชาชน ผู้คนในพื้นที่...ต้องน้ำตานองหน้า!
เพื่อนร่วมชาติของผู้เคราะห์ร้าย ที่อยู่ในจังหวัดอื่น เห็นภาพแล้วใจหาย ให้สงสารและเห็นพวกพ้องน้องพี่ ที่ร่วมแผ่นดินร่วมชาติไทยด้วยกันเป็นกำลัง
นี่เป็นผลต่อเนื่องมา ตั้งแต่พรรคประชาธิปรตมัน ‘สิ้นคิด’ ดันไปเอา นายกษิต ภิรมย์ คนมีปัญหา มาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ โดยไม่สนใจใยดีว่า
นายกษิตฯคนนี้ สังกัดฝ่ายพันธมาร แถมยังมีส่วนยึดสนามบินนานาชาติ ซึ่งคดีความก็ยังคาราคาซังกันอยู่
นั่นยังไม่สำคัญเท่า นายกษิตฯ ขึ้นเวทีด่าสมเด็จฮุนเซ็นนายกกัมพูชาว่าเป็น...
…“กุ๊ย”
การแต่ง ตั้งนายกษิตฯ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศนั้น ได้แสดงถึงความอ่อนด้อยทางการต่างประเทศของนายมาร์ค มุกควาย ซึ่งดันเสือกไปเลือกเอาบุคคล ที่แสดงตัวเป็นปฏิปักษ์ชัดเจนกับ ‘สมเด็จฮุนเซน’ นายกรัฐมนตรีเพื่อนบ้าน ที่มีแนวชายแดนติดต่อกันยาวนับพันกิโลเมตร มาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
ต้องขอตอกย้ำอีกทีว่า นายมาร์ค มุกควาย นั้น...สิ้นคิด!
โง่เสียจนกระทั่ง มองเหตุการณ์ภายหน้าไม่ออกว่า...
ถ้าตั้งไอ้ตัวนี้เข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ บ้านเมืองจะต้องเดือดร้อน...
...โง่ฉิบหายเลยจริงๆ!!
แล้วก็เป็นไปตามคาด พออีตากษิต ภิรมย์ เข้ามาดำรงตำแหน่ง ความสุขสงบระหว่างสองประเทศ ที่เคยดีมาในยุคนายกฯทักษิณ กลับ ‘ร้อนฉ่า’ ขึ้นมาทันที จนผมต้องเขียนวิพากษ์วิจารณ์ไว้ด้วยบทความ ที่ค่อนข้างรุนแรงหนักหน่วง เอาไว้ก่อนล่วงหน้าเป็นปี ถึง 3 บทความด้วยกันคือ
1.บทความชื่อ “ฝีคัณฑสูตร” ในรูทวาร ของประชาธิปัตย์!!!
21 มี.ค.2552 http://vattavan.com/detail.php?cont_id=137
ผมได้บรรยายว่า
ประ ชาธิเปรตจำต้องตั้งนายกษิตฯ คนของฝ่ายพันธมารเข้ามาเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ เพราะร่วมหัวจมท้ายกันในการโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน
นายคนนี้จึงเหมือน ‘ฝีในรูตูด’ ของพรรคดักดาน ที่จะต้องทำให้พรรคประชาธิเปรตเจ็บแสบต่อไป
2. บทความชื่อ เหตุฉิบหายจะเกิดขึ้นกับเมืองไทยได้...ไม่
ยากเลย!!! http://vattavan.com/detail.php?cont_id=157
ซึ่งผมเขียนไว้ตั้งแต่ 5 กรกฎาคม 2552 อยากให้ท่านผู้อ่านได้ดูสักนิด โดยผมได้บรรยายตอนจบ เอาไว้อย่างครับ...
...อ่าน ข่าวแล้ว ก็ปลงสังเวช ที่ได้เห็นว่ารัฐบาลโลซกของคนหนีทหารอย่างนายอภิแสบ ต้องโดนชาติที่เล็กกว่า แต่มีผู้นำที่เข้มแข็งแถมเป็นทหารเก่าชำนาญการศึกโชนโชก
ไล่โขก ไล่สับ...เอาตามใจชอบ!
แม้เกียรติภูมิของชาติเสียหาย รัฐบาลโลซกก็ยังมีหน้าออกมาสะตะบอแหลชาวบ้านเขาไปวันๆ ยิ่งไปกว่านั้นสื่อต่างๆ ในกัมพูชาพากันตีพิมพ์ข่าวเกี่ยวกับข้อเสนอของไทย ถูกคณะกรรมการมรดกโลกปัดปฏิเสธ ไม่นำขึ้นพิจารณาในการประชุมประจำปี
สื่อยักษ์ใหญ่ขะแมร์ คือหนังสือพิมพ์ดืมอัมปึล (Deum Ampil) รายงานว่า
คณะ กรรมการมรดกโลกได้ปิดการประชุมที่เมืองเซวิลล์ (Seville) ประเทศสเปน ในวันที่ 28 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยไม่มีการนำข้อเสนอของไทยที่ ขอให้ทบทวนการพิจารณาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก
ดืมอัมปึลถึงกับพาดหัว ด้วยความเริงร่าว่า
"ประเทศไทยปราชัยอย่าง ‘น่าอดสูที่สุด’ ในการเรียกร้องให้ทบทวนการขึ้นทะเบียนพระวิหารเป็นมรดกโลก.."
นี่ไง...หน้าแหกกันเป็นริ้วๆไปเลย!
ดัง นั้น ในทัศนะของ “วาทตะวัน” แล้ว การที่ตั้งนายฝีคัณฑสูตร “กษิต” มาเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ อันเป็นผลพวงจากการตั้งรัฐบาลผสม ที่โง่เขลาเบาปัญญาของนายมาร์ค มุกควาย ซึ่งกระทำไปยำเกรงขบวนการพันธมาร จนต้องเอานายคนนี้มาเป็นรัฐมนตรีพัวพันต่างประเทศ
จึงไม่น่าแปลก ที่ชาวบ้านเขาไม่ชอบขี้หน้ารัฐมนตรีต่างประเทศนายนี้ สำหรับข้าราชการในกระทรวง ก็ได้ข่าวว่าแอนตี้เจ้ากระทรวงกันมาก
เลยพาลชิงชัง รัฐบาลปัจจุบันเข้าไปด้วย!
ต้องขอบอกกันไว้ชัดๆ ตรงนี้เลยว่า
มาถึงวันนี้แล้ว ช่างเป็น “เคราะห์กรรม...ของประเทศไทย” จริงๆ ที่ได้ผู้นำคุณภาพต่ำเตี้ยเรี่ยดิน และถ้าหากเมืองไทยยังมีนายมาร์ค มุกควาย เป็นหัวหน้ารัฐบาลโลซก และนายฝีคัณฑสูตร “กษิต”เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศอีกต่อไป...
เหตุฉิบหายจะเกิดขึ้นกับเมืองไทยได้...ไม่ยากเลย!!!
ที่ผมขึ้นชื่อคอลัมน์ ว่า เหตุฉิบหายจะเกิดขึ้นกับเมืองไทยได้
...ไม่ยากเลย!!! ตั้งแต่ 5 กรกฎาคม 2552 เพราะตัวเองมั่นใจว่า ถ้าไอ้ตัวนี้มาเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ เหตุฉิบหายต้องเกิดแน่ๆ
แล้วก็เป็นไป...ตามคาด!
มาถึงวันนี้ ท่านทั้งหลายอาจได้เห็นภาพที่พี่น้องประชาชน ต้องมุดลงไปในท่อ เพื่อหลบลูกกระสุนปืนใหญ่จากฝ่ายเขมร
มีผู้คนต้องสังเวยชีวิต และบาดเจ็บ!
ที่น่าสังเวชและเขย่าหัวใจผมเหลือเกิน คือภาพที่จะได้เห็นจาก น.ส.พ.ไทยโพสต์ ต่อไปนี้
content/picdata/279/data/photo.jpg
นี่คือหญิงชรา ที่ป่วยเจ็บ แต่ต้องถูกเจ้าหน้าที่ช่วยกันแบกอพยพ หลบหนีความตายจากภัยสงคราม อย่างทุลักทุเล
ท่านผู้อ่านลองพิจารณา ดูสีหน้าของคุณยายท่านสิครับ ช่างเปล่งความรู้สึกทุกข์ระทม ชัดเจนออกมาทางใบหน้า อย่างไม่จำเป็นต้องอธิบายกันซ้ำซ้ำ
ภาพคุณยายนี้ สร้างความสะเทือนใจ ให้ผมสุดๆ!
[img][/img]
หลังจากที่ผมเขียน 2 คอลัมน์ ดังที่เล่าไปแล้วข้างต้น แต่ยังไม่หมดแค่นั้น เพราะผมยังกระทุ้งติดตามต่อมาทันที ด้วยบทความที่ 3 ชื่อ “รัฐมนตรีผู้ร้าย กับนายกฯโลซก!?” เมื่อ 10 กรกฎาคม 2552 http://vattavan.com/detail.php?cont_id=159
ผมอธิบายความว่า เจ้ากษิต ภิรมย์ นั่นแหละ ที่เป็นไอ้รัฐมนตรีผู้ร้าย ส่วนเจ้านายกฯโลซก ไม่ใช่ใครที่หนวยเลย คือ
นายมาร์ค มุกควาย นั่นเอง!
ท่านผู้อ่าน ที่เคารพรักครับ
บ้านเมืองไทยของเรานั้น ทำไมถึงได้ ‘ซวยสุดขีด’ อย่างนี้
ก็ไม่รู้ ที่ดันไปได้ไอ้เปรตสองตัว คือนายมาร์ค มุกควาย และ
นายฝีคัณฑสูตร กษิต ภิรมย์ มากุมชะตาชีวิตของคนไทย อย่างเราๆท่านๆ
ผม คุยกับเพื่อนนักเรียน ‘เตรียมทหาร’ รุ่นเดียวกัน ซึ่งเป็นนายทหารนักรบขนานแท้ เคยดำรงตำแหน่งสูงในกองทัพมาก่อน ถึงเหตุการณ์ครั้งนี้แล้ว
รู้สึกใจหาย เมื่อเขาพึมพำออกมาดังๆ ให้ได้ยินว่า
“คงเป็นคราวเคราะห์ของบ้านเมือง เพราะเราปล่อยให้ ‘ไอ้คนหนีทหาร’ มันลากชาติไทยเรา เข้าสู่...สงคราม!!!”
......................
ท้ายบท เพื่อความสมบูรณ์ กรุณาอ่านบทความ “คนไทย ‘เงี่ยน’ สงคราม!!!” http://vattavan.com/detail.php?cont_id=242
จะได้เข้าใจชัดเจน ยิ่งขึ้นด้วย
อนึ่ง ก่อนส่งบทความนี้ เจ้าฝีคัณฑสูตรในรูตูดประชาธิเปรต ยังปากดีไปกล่าวหาชาติใหญ่ อย่าง รัสเซีย,ฝรั่งเศส และอินเดียเข้าอีก น่าจะให้ฉายาเพิ่มอีกว่าเป็น...
“รัฐมนตรีกระทรวง ชักน้ำเข้าลึก-ชักศึกเข้าบ้าน”
(คอลัมน์ ไอ้คนหนีทหาร มันลากชาติไทยเข้าสู่…สงคราม!!! ออนไลน์ วันเสาร์ ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2554)
วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
เมื่อ ออกรับราชการทางภาคอีสาน กว่า 40 ปี ก่อนนั้น ผมได้เรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับคนอีสานด้วยความสนใจ อาจเป็นเพราะต้นตระกูลฝ่ายบิดาของตัวเอง เป็นคน ‘ไทยโคราช’ โดยคุณปู่มีภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่ บ้านน้ำเมา (ชื่อดี๊ดี) ตำบลลาดบัวขาว อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา จึงมีคนนามสกุลเดียวกัน อยู่ที่อำเภอนี้มีจำนวนพอสมควร
ถ้าไปตามถนนมิตรภาพมุ่งหน้าไปโคราช ทางเข้าบ้านน้ำเมาจะอยู่ซ้ายมือ และเลยจากทางเข้าบ้านน้ำเมาไปหน่อย ระหว่างกิโลเมตรที่ 206-207 ทางด้านขวามือของถนนมิตรภาพ จะมีป้ายบอกจุดท่องเที่ยวว่า
“แหล่งหินตัด”
แหล่งหินดังกล่าว เป็นเนินเขาที่เต็มไปด้วยหินทราย ที่ยังปรากฏร่องรอยของการสกัดหิน เป็นร่องลึกรูปสี่เหลี่ยมขนาดต่างๆ อยู่หลายแนว คล้ายกับก้อนขนมเค้ก และยังคงทิ้งร่องรอยของคมสิ่ว ที่ใช้เป็นเครื่องมือในการสกัดเอาไว้ชัดเจน
สันนิษฐานกันว่า พวกขอมคงจะนำหินทรายจากบริเวณนี้ ไปสร้างปราสาทหินหลายแห่ง ที่ตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียง
เมื่อขอมมีอิทธิพลในสุวรรณภูมินั้น ราวพุทธศตวรรษที่ 17 ศูนย์กลางแห่งอำนาจอยู่ที่เมือง ‘พิมาย’ และอิทธิพลขอมได้แผ่ข้ามทิวเขาพนมดงรัก ไปครอบคลุมถึงเมืองปราจีนบุรีด้วย
ด้วยความสงสัย ผมเคยถามท่านอาจารย์ จุลทรรศน์ พยาฆรานนท์ ราชบัณฑิตว่า
“ขอมขนหินพวกนี้ ไปได้อย่างไรกันครับ?”
ได้รับคำตอบว่า
หินทรายที่ถูกตัด จะมีรูพรุนตามธรรมชาติอยู่ การขนหินในยุคนั้น คนโบราณจะตัดไม้ไผ่ เป็นท่อนยาวๆ แล้วใช้ไม้ไผ่แยงไปตรงรูร่องของหิน แล้วแรงคนช่วยกันดันหินแต่ละก้อน ให้เคลื่อนที่ไปยังจุดหมายที่ต้องการ
แต่... วันหนึ่งๆ จะไปได้ไกลแค่ไหนกันนะ?
ผมเองยังไม่เคยลอง จึงไม่ทราบ แต่คิดว่า กว่าพวกเขาจะขนหินนับหมื่นนับแสนก้อน ไปสร้างเป็นองค์ปราสาทใหญ่โตได้ และเป็นการก่อสร้างศาสนสถาน ตามคติความเชื่อเรื่องการสถาปนาพระราชอำนาจ ของกษัตริย์ขอม ผ่าน‘ลัทธิเทวะราช’ นั้น
คงต้องใช้คนจำนวนมากมาย และทุนทรัพย์มหาศาล จึงจะสร้างปราสาทหินหลังหนึ่งๆ สำเร็จลงได้ อีกทั้งคงต้องใช้เวลานานนับสิบๆปีเดียว
ดังนั้น ความทุกข์ยากของแรงงานที่ถูกเกณฑ์มา คงจะแสนสาหัสทีเดียว ผู้คนคงจะต้องล้มตายกันเป็นจำนวนมาก เพราะงานคงหนัก อีกทั้งไข้ป่าแถบนั้น ก็ชุกชุมเหลือกำลัง หยูกยาก็ไม่มี และการรักษาพยาบาลก็จำกัด คงเป็นเหตุให้จำนวนผู้เสียชีวิตระหว่างการก่อสร้าง อาจเป็นเรือนหมื่นเป็นแสน ก็คงจะเป็นไปได้
คำถามต่อไป มีอยู่ว่า
แล้วผู้คนที่เป็นแรงงาน มาจากไหนกันล่ะ?
ตรงนี้พอตอบได้ว่า ส่วนที่ควบคุมการก่อสร้าง คงจะเป็นขอม แต่แรงงานน่าจะเป็นคนท้องถิ่น ซึ่งน่าจะเป็นบรรพบุรุษของคนอีสานในปัจจุบันนี่แหละ
ข้อสงสัยอีกประการหนึ่ง คือ
‘ขอม’ กับ ‘เขมร’ เป็นชนชาติเดียวกันหรือไม่?
นี่เป็นคำถามโลกแตก ถกเถียงกันได้อย่างไม่มีข้อยุติ แต่เอาเป็นว่า เมื่อขอมกลายเป็นเขมร ก็ต้องตกอยู่ในอำนาจของไทยมาช้านาน และพ้นจากการปกครองของไทย ก็ตกเป็นขี้ข้าฝรั่งเศสอยู่อีกหลายทศวรรษ
อย่างไรก็ตาม พอสรุปได้ว่า
การ ก่อสร้างปราสาทใหญ่โต ใช้ทุนทรัพย์และชีวิตคนจำนวนมหาศาล ในที่สุดผู้คนทนความทุกข์ยากไม่ไหว ก็กระด้างกระเดื่อง หรือหลบหนีไปจากแผ่นดินที่มีการกดขี่
อาณาจักรขอมรุ่งเรืองใหญ่โตเพราะ ‘หิน’ แต่สุดท้าย จักรวรรดิของพวกเขา ก็ล่มสลายลงเพราะ ‘หิน’ เช่นเดียวกัน!
ถึงกระนั้น สิ่งก่อสร้างที่เป็นทำด้วยหินในรูปปราสาท ยังทรงความสำคัญอยู่ในความรู้สึก หรือจะเรียกให้ทันสมัยก็คือ ยังอยู่ในจิตวิญญาณของผู้คนในแผ่นดินกัมพูชา ซึ่งคนเขมรเชื่อกันว่าขอมที่รังสรรค์ปราสาทหิน ให้เป็นอลังการงานสร้างนั้น เป็นบรรพบุรุษของพวกเขานั่นเอง
ด้วยเหตุผลดังกล่าว เราจึงได้เห็นรูปปราสาทหินสีขาวอย่าง ‘นครวัด’ ปรากฏอยู่กลางธงชาติกัมพูชา
ความสำคัญสำหรับปราสาทหิน สำหรับชาวเขมรนั้น มีมากจริงๆ เพราะปราสาทหินนั้น เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ แสดงความเป็น ‘ชาติ’ ของพวกเขา และนี่คงจะเป็นเหตุผล ทำให้เราชาวไทยคิดได้ว่า
ทำไมเขมรจึงดิ้นรนสุดขีด เพื่อจะครอบครองปราสาทหินอย่าง ‘เขาพระหาร’ เอาไว้ให้ได้!?
คนไทยในปัจจุบันหรือแม้ในอดีต ก็ไม่มีความรู้สึกซาบซึ้งหรือผูกพันกับปราสาทหิน อย่างที่คนเขมร แต่ถึงกระนั้น ปราสาทหินที่เขาพระวิหาร ยังดันกลายเป็นปัญหาของบ้านเราจนได้
คนอีสาน นั้น ถูกอิทธิพลจากขอมครอบงำหลายศตวรรษ จนขอมเสื่อมอำนาจ แผ่นดินอีสานก็ตกอยู่ใต้การปกครองของกษัตริย์ในยุคอยุธยา และรัตนโกสินทร์ มาจนถึงปัจจุบัน
หลังกึ่งพุทธกาลไม่นาน ตอนผู้เขียนออกรับราชการทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้เห็นผู้หญิงอีสานนุ่งผ้าถุงสองชั้นให้นึกแปลกใจ โดยเฉพาะยิ่งผู้หญิงภาคนี้ ที่เข้าไปรับจ้างทำงานตามบ้านที่กรุงเทพ (สมัยนั้นคนอีสานยังเรียกการไปกรุงเทพ ว่า “ไปไทย”) ซึ่งมีอยู่มากหลังกึ่งพุทธกาล
พวกเธอนุ่งผ้าถุง 2 ชั้น หรือ 2 ผืน!
ยังนึกสงสัยอยู่ว่า ทำไมพวกเธอต้องนุ่งอย่างนั้น แต่เมื่อสอบถามผู้เฒ่าผู้แก่ดูแล้ว ก็ได้ความว่า
การที่ถูกครอบงำโดยอิทธิพลต่างถิ่น บางครั้งก็ต้องถูกกวาดต้อนไปเป็นแรงงานของชนชาติที่มีอำนาจ เลยทำให้คนอีสานต้องเตรียมพร้อมเสมอ สำหรับ...
‘การอพยพ’
ผู้หญิงต้องนุ่งผ้าถุง 2 ชั้น เพื่อจะมีไว้ผลัดยามต้องเดินทางรอนแรมยามหนีศัตรู หรือเมื่อถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย และคงติดจนกลายเป็นความเคยชิน ที่ฝังลึกจิตใจของชาวอีสานสืบต่อกันมาเพราะการที่จะต้องอพยพ ย้ายถิ่นที่อยู่บ่อยครั้งนั่นเอง
ดังนั้น เมื่อเกิดการรบพุ่งระหว่างไทยกับเขมรครั้งล่าสุด ที่อุบัติขึ้นเมื่อเดือน ก.พ.2554 ไม่กี่วันมานี้ เป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี พี่น้องผู้หญิงชาวอีสานที่ต้องออกจากบ้าน ไปยังที่พักพิงใน ‘ศูนย์อพยพ’ ชั่วคราว ที่ทางการจัดให้ มีจำนวนมากที่นุ่งผ้าถุงสองชั้น เหมือนอย่างที่บรรพบุรุษเคยทำมาก่อน ยามเมื่อต้องพลัดที่นาคาที่อยู่ หรือต้องหนีภัยสงคราม
ใครเลยจะนึกว่า วันหนึ่งเราต้องเห็นพี่น้องชาวอีสาน จำนวนนับเป็นหมื่นๆ ต้องออกอพยพออกจากบ้านเรือนตนเอง ไปหาที่ปลอดภัย
เพราะภัยสงคราม!
ที่ไปไม่ทัน ก็ต้องลงหลุมหลบภัย หรือไม่ก็ต้องทำตัวเป็น ‘หนู’ ไปมุดหรือคลานลง ตามท่อที่เตรียมไว้ เพื่อเอาชีวิตรอด
น่าอนาถเหลือกำลัง!
นี่เป็นเพราะ ‘ความล้มเหลว’ ในการบริหารบ้านเมือง ของนายมาร์ค มุกควาย กับรัฐบาลกาลีโคตรคอรัปชั่นของเขา เพราะ รัฐบาลโลซกนี้ ได้ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างไทยเรากับประเทศกัมพูชา
จนย่อยยับ!
นายมาร์ค มุกควาย ได้ทำให้ประเทศไทยเรา ซึ่งในยุคของนายกทักษิณฯนั้น ผมเคยเล่าให้ฟังแล้วว่า คุณเตช บุนนาค ได้ให้สัมภาษณ์ว่า
ไทยเราเคยมีเกียรติภูมิ เป็นผู้นำในเวทีอาเซียน แต่บัดนี้เมืองไทยเรากลาย เป็นที่เกลียดชังของประเทศเพื่อนบ้านรอบตัว
จนต้องมี ‘ภาวะสงคราม’ ในที่สุด!
การสงครามครั้งนี้ แม้ฝ่ายไทยโดยรัฐบาลโลซก พยายามเหลือเกินที่จะไม่เรียกว่าเป็น ‘สงคราม’ โดยพยายามเฉไฉไปใช้คำอื่น เช่น คำว่า “การปะทะกันตามแนวชายแดน” แต่ประเทศคู่ศึกคือกัมพูชา เขาเรียกการสู้รบระหว่างสองประเทศ เต็มปากเต็มคำว่า “สงคราม” และเรียกทหารที่ถูกจับได้ว่า
“เชลยศึก”
จะไม่เป็นสงครามได้อย่างไร เมื่อฝ่ายเขมรเขาบอกว่าเป็นสงครามที่แท้จริง อีกทั้งเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงพนมเปญ ก็เซ็นเอกสารรับตัวทหารเชลย ซึ่งทำขึ้นตามกฎกาชาดสากล อันว่าด้วย ‘การมอบ-รับเชลยศึก’ ต่อหน้าคณะทูตทหารประจำกรุงพนมเปญหลายประเทศ
การสงครามกับเขมรครั้งนี้ นายมาร์ค มุกควาย คงไม่รู้สึกถึงความเดือดร้อนราษฎร (อาจเพลินกับการเล่นเฟซบุคมากกว่า) แต่ปรากฏว่า
[img][/img]
ราษฎรต้องบาดเจ็บล้มตาย บ้านเรือนของประชาชนโรงเรียนฯลฯ พังพินาศ เกิดเพลิงลุกไหม้ ฉิบหายสิ้นชุมชนชาวไทยได้รับความเสียหายหนัก
พี่น้องประชาชน ผู้คนในพื้นที่...ต้องน้ำตานองหน้า!
เพื่อนร่วมชาติของผู้เคราะห์ร้าย ที่อยู่ในจังหวัดอื่น เห็นภาพแล้วใจหาย ให้สงสารและเห็นพวกพ้องน้องพี่ ที่ร่วมแผ่นดินร่วมชาติไทยด้วยกันเป็นกำลัง
นี่เป็นผลต่อเนื่องมา ตั้งแต่พรรคประชาธิปรตมัน ‘สิ้นคิด’ ดันไปเอา นายกษิต ภิรมย์ คนมีปัญหา มาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ โดยไม่สนใจใยดีว่า
นายกษิตฯคนนี้ สังกัดฝ่ายพันธมาร แถมยังมีส่วนยึดสนามบินนานาชาติ ซึ่งคดีความก็ยังคาราคาซังกันอยู่
นั่นยังไม่สำคัญเท่า นายกษิตฯ ขึ้นเวทีด่าสมเด็จฮุนเซ็นนายกกัมพูชาว่าเป็น...
…“กุ๊ย”
การแต่ง ตั้งนายกษิตฯ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศนั้น ได้แสดงถึงความอ่อนด้อยทางการต่างประเทศของนายมาร์ค มุกควาย ซึ่งดันเสือกไปเลือกเอาบุคคล ที่แสดงตัวเป็นปฏิปักษ์ชัดเจนกับ ‘สมเด็จฮุนเซน’ นายกรัฐมนตรีเพื่อนบ้าน ที่มีแนวชายแดนติดต่อกันยาวนับพันกิโลเมตร มาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
ต้องขอตอกย้ำอีกทีว่า นายมาร์ค มุกควาย นั้น...สิ้นคิด!
โง่เสียจนกระทั่ง มองเหตุการณ์ภายหน้าไม่ออกว่า...
ถ้าตั้งไอ้ตัวนี้เข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ บ้านเมืองจะต้องเดือดร้อน...
...โง่ฉิบหายเลยจริงๆ!!
แล้วก็เป็นไปตามคาด พออีตากษิต ภิรมย์ เข้ามาดำรงตำแหน่ง ความสุขสงบระหว่างสองประเทศ ที่เคยดีมาในยุคนายกฯทักษิณ กลับ ‘ร้อนฉ่า’ ขึ้นมาทันที จนผมต้องเขียนวิพากษ์วิจารณ์ไว้ด้วยบทความ ที่ค่อนข้างรุนแรงหนักหน่วง เอาไว้ก่อนล่วงหน้าเป็นปี ถึง 3 บทความด้วยกันคือ
1.บทความชื่อ “ฝีคัณฑสูตร” ในรูทวาร ของประชาธิปัตย์!!!
21 มี.ค.2552 http://vattavan.com/detail.php?cont_id=137
ผมได้บรรยายว่า
ประ ชาธิเปรตจำต้องตั้งนายกษิตฯ คนของฝ่ายพันธมารเข้ามาเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ เพราะร่วมหัวจมท้ายกันในการโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน
นายคนนี้จึงเหมือน ‘ฝีในรูตูด’ ของพรรคดักดาน ที่จะต้องทำให้พรรคประชาธิเปรตเจ็บแสบต่อไป
2. บทความชื่อ เหตุฉิบหายจะเกิดขึ้นกับเมืองไทยได้...ไม่
ยากเลย!!! http://vattavan.com/detail.php?cont_id=157
ซึ่งผมเขียนไว้ตั้งแต่ 5 กรกฎาคม 2552 อยากให้ท่านผู้อ่านได้ดูสักนิด โดยผมได้บรรยายตอนจบ เอาไว้อย่างครับ...
...อ่าน ข่าวแล้ว ก็ปลงสังเวช ที่ได้เห็นว่ารัฐบาลโลซกของคนหนีทหารอย่างนายอภิแสบ ต้องโดนชาติที่เล็กกว่า แต่มีผู้นำที่เข้มแข็งแถมเป็นทหารเก่าชำนาญการศึกโชนโชก
ไล่โขก ไล่สับ...เอาตามใจชอบ!
แม้เกียรติภูมิของชาติเสียหาย รัฐบาลโลซกก็ยังมีหน้าออกมาสะตะบอแหลชาวบ้านเขาไปวันๆ ยิ่งไปกว่านั้นสื่อต่างๆ ในกัมพูชาพากันตีพิมพ์ข่าวเกี่ยวกับข้อเสนอของไทย ถูกคณะกรรมการมรดกโลกปัดปฏิเสธ ไม่นำขึ้นพิจารณาในการประชุมประจำปี
สื่อยักษ์ใหญ่ขะแมร์ คือหนังสือพิมพ์ดืมอัมปึล (Deum Ampil) รายงานว่า
คณะ กรรมการมรดกโลกได้ปิดการประชุมที่เมืองเซวิลล์ (Seville) ประเทศสเปน ในวันที่ 28 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยไม่มีการนำข้อเสนอของไทยที่ ขอให้ทบทวนการพิจารณาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก
ดืมอัมปึลถึงกับพาดหัว ด้วยความเริงร่าว่า
"ประเทศไทยปราชัยอย่าง ‘น่าอดสูที่สุด’ ในการเรียกร้องให้ทบทวนการขึ้นทะเบียนพระวิหารเป็นมรดกโลก.."
นี่ไง...หน้าแหกกันเป็นริ้วๆไปเลย!
ดัง นั้น ในทัศนะของ “วาทตะวัน” แล้ว การที่ตั้งนายฝีคัณฑสูตร “กษิต” มาเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ อันเป็นผลพวงจากการตั้งรัฐบาลผสม ที่โง่เขลาเบาปัญญาของนายมาร์ค มุกควาย ซึ่งกระทำไปยำเกรงขบวนการพันธมาร จนต้องเอานายคนนี้มาเป็นรัฐมนตรีพัวพันต่างประเทศ
จึงไม่น่าแปลก ที่ชาวบ้านเขาไม่ชอบขี้หน้ารัฐมนตรีต่างประเทศนายนี้ สำหรับข้าราชการในกระทรวง ก็ได้ข่าวว่าแอนตี้เจ้ากระทรวงกันมาก
เลยพาลชิงชัง รัฐบาลปัจจุบันเข้าไปด้วย!
ต้องขอบอกกันไว้ชัดๆ ตรงนี้เลยว่า
มาถึงวันนี้แล้ว ช่างเป็น “เคราะห์กรรม...ของประเทศไทย” จริงๆ ที่ได้ผู้นำคุณภาพต่ำเตี้ยเรี่ยดิน และถ้าหากเมืองไทยยังมีนายมาร์ค มุกควาย เป็นหัวหน้ารัฐบาลโลซก และนายฝีคัณฑสูตร “กษิต”เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศอีกต่อไป...
เหตุฉิบหายจะเกิดขึ้นกับเมืองไทยได้...ไม่ยากเลย!!!
ที่ผมขึ้นชื่อคอลัมน์ ว่า เหตุฉิบหายจะเกิดขึ้นกับเมืองไทยได้
...ไม่ยากเลย!!! ตั้งแต่ 5 กรกฎาคม 2552 เพราะตัวเองมั่นใจว่า ถ้าไอ้ตัวนี้มาเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ เหตุฉิบหายต้องเกิดแน่ๆ
แล้วก็เป็นไป...ตามคาด!
มาถึงวันนี้ ท่านทั้งหลายอาจได้เห็นภาพที่พี่น้องประชาชน ต้องมุดลงไปในท่อ เพื่อหลบลูกกระสุนปืนใหญ่จากฝ่ายเขมร
มีผู้คนต้องสังเวยชีวิต และบาดเจ็บ!
ที่น่าสังเวชและเขย่าหัวใจผมเหลือเกิน คือภาพที่จะได้เห็นจาก น.ส.พ.ไทยโพสต์ ต่อไปนี้
content/picdata/279/data/photo.jpg
นี่คือหญิงชรา ที่ป่วยเจ็บ แต่ต้องถูกเจ้าหน้าที่ช่วยกันแบกอพยพ หลบหนีความตายจากภัยสงคราม อย่างทุลักทุเล
ท่านผู้อ่านลองพิจารณา ดูสีหน้าของคุณยายท่านสิครับ ช่างเปล่งความรู้สึกทุกข์ระทม ชัดเจนออกมาทางใบหน้า อย่างไม่จำเป็นต้องอธิบายกันซ้ำซ้ำ
ภาพคุณยายนี้ สร้างความสะเทือนใจ ให้ผมสุดๆ!
[img][/img]
หลังจากที่ผมเขียน 2 คอลัมน์ ดังที่เล่าไปแล้วข้างต้น แต่ยังไม่หมดแค่นั้น เพราะผมยังกระทุ้งติดตามต่อมาทันที ด้วยบทความที่ 3 ชื่อ “รัฐมนตรีผู้ร้าย กับนายกฯโลซก!?” เมื่อ 10 กรกฎาคม 2552 http://vattavan.com/detail.php?cont_id=159
ผมอธิบายความว่า เจ้ากษิต ภิรมย์ นั่นแหละ ที่เป็นไอ้รัฐมนตรีผู้ร้าย ส่วนเจ้านายกฯโลซก ไม่ใช่ใครที่หนวยเลย คือ
นายมาร์ค มุกควาย นั่นเอง!
ท่านผู้อ่าน ที่เคารพรักครับ
บ้านเมืองไทยของเรานั้น ทำไมถึงได้ ‘ซวยสุดขีด’ อย่างนี้
ก็ไม่รู้ ที่ดันไปได้ไอ้เปรตสองตัว คือนายมาร์ค มุกควาย และ
นายฝีคัณฑสูตร กษิต ภิรมย์ มากุมชะตาชีวิตของคนไทย อย่างเราๆท่านๆ
ผม คุยกับเพื่อนนักเรียน ‘เตรียมทหาร’ รุ่นเดียวกัน ซึ่งเป็นนายทหารนักรบขนานแท้ เคยดำรงตำแหน่งสูงในกองทัพมาก่อน ถึงเหตุการณ์ครั้งนี้แล้ว
รู้สึกใจหาย เมื่อเขาพึมพำออกมาดังๆ ให้ได้ยินว่า
“คงเป็นคราวเคราะห์ของบ้านเมือง เพราะเราปล่อยให้ ‘ไอ้คนหนีทหาร’ มันลากชาติไทยเรา เข้าสู่...สงคราม!!!”
......................
ท้ายบท เพื่อความสมบูรณ์ กรุณาอ่านบทความ “คนไทย ‘เงี่ยน’ สงคราม!!!” http://vattavan.com/detail.php?cont_id=242
จะได้เข้าใจชัดเจน ยิ่งขึ้นด้วย
อนึ่ง ก่อนส่งบทความนี้ เจ้าฝีคัณฑสูตรในรูตูดประชาธิเปรต ยังปากดีไปกล่าวหาชาติใหญ่ อย่าง รัสเซีย,ฝรั่งเศส และอินเดียเข้าอีก น่าจะให้ฉายาเพิ่มอีกว่าเป็น...
“รัฐมนตรีกระทรวง ชักน้ำเข้าลึก-ชักศึกเข้าบ้าน”
(คอลัมน์ ไอ้คนหนีทหาร มันลากชาติไทยเข้าสู่…สงคราม!!! ออนไลน์ วันเสาร์ ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2554)
lucky m.- Hero gen.seh member
- จำนวนข้อความ : 2803
Join date : 12/06/2010
Re: Hijack ประเทศไทย!!!วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
แรงได้อีกนะท่านVattawan งานจะเข้าไหม๊นี่(บอร์ดเราเอง)
goosehhardcore- Hero gen.seh member
- จำนวนข้อความ : 6012
Join date : 12/06/2010
ที่อยู่ : Bangkok Thailand
เขมรจะจัดฉลอง “วันรบชนะไทย” วาทตะวัน สุพรรณเภษัช เมื่อสัปดาห์ก่อนได้เล่าถึงเรื่องผู้หญิงอีสาน ต้องนุ่งผ้าถุงสองผืน เพราะในอดีตสตรีของภาคนี้ จำต้องอพยพเดินทางตลอด เนื่องจากถูกผู้ปกครองกดขี่บังคับ บางครั้งก็โดนกวาดต้อนไปเป็นเชลยบ้าง หรือเพราะต้องหลบภัยสงครา
เขมรจะจัดฉลอง “วันรบชนะไทย” วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
เมื่อสัปดาห์ก่อนได้เล่าถึงเรื่องผู้หญิงอีสาน ต้องนุ่งผ้าถุงสองผืน
เพราะในอดีตสตรีของภาคนี้ จำต้องอพยพเดินทางตลอด
เนื่องจากถูกผู้ปกครองกดขี่บังคับ บางครั้งก็โดนกวาดต้อนไปเป็นเชลยบ้าง
หรือเพราะต้องหลบภัยสงครามบ้าง จนติดเป็นนิสัย
ดังนั้น เมื่อเกิดศึกกับเขมรเมื่อต้นเดือน ก.พ. 2554 ชาวบ้านที่เป็นผู้หญิง
ก็ต้องทำเหมือนบรรพบุรุษ ที่ต้องสวมผ้าถุงสองชั้น แล้วอพยพหนีตายออกจากบ้าน
นี่เป็นเพราะคนไทยและประเทศของเราโชคร้าย ดันไปได้...
“รัฐบาล-กาลี” ที่หาเรื่องตบตีกับเพื่อนบ้านเขาเรื่อยไป นั่นเอง!
หลังเกิดเหตุการณ์ปะทะใหม่ เมื่อถึงวันเสาร์ที่ผ่านมา (12 ก.พ.2554)
ผมได้ฟังวิทยุ “รายการลับลวงพลาง” ทางคลื่น อ.ส.ม.ท. Fm 100.5 MHz
วาสนา นาน่วม นักข่าวสายทหารของ ‘บางกอกโพสต์’ ได้เล่าถึง
ความขาดแคลนสิ่งของเครื่องใช้ ของทหารในแนวหน้า ได้ยินแล้วให้แปลกใจ
เพราะเธอเล่าว่า
สิ่งที่ทหารในแนวหน้าต้องการมาก คือ
ผ้าอนามัยสตรี สำหรับซับเลือดและห้ามเลือด
เมื่อยามได้รับบาดเจ็บและเกิดบาดแผลอันเกิดจากการสู้รบ
เพราะผ้าอนามัยมีประสิทธิภาพดีกว่าผ้าหรือสำลีทางการแพทย์ ที่แน่ๆคือ
ใช้ได้สะดวกกว่านั่นเอง!
ผมเองไม่ได้รบพุ่งกับใครมานานมากแล้ว เลยไม่ทันสมัย
เพียงแต่รู้ว่าผ้าอนามัย หรือที่เรียกกันคุ้นปากว่า “โกเต๊กซ์”
ซึ่งเป็นผ้าอนามัยที่โด่งดังมาก่อนยี่ห้ออื่นนั้น
ตำรวจจราจรเคยใช้ปิดจมูก ระหว่างปฏิบัติหน้าที่บนท้องถนนมานมนานแล้ว
[img][/img]
คุณวาสนา นาน่วม ได้ชักชวนให้คนไทย ช่วยกันบริจาค “โกเต๊กซ์” ให้ทหาร
มีใครบริจาคให้ไปกันบ้างหรือยัง ก็ยังไม่ได้ไต่ถาม แต่สำหรับผมแล้วเห็นว่า
ไม่ถึงกับต้องให้ประชาชนซื้อผ้าอนามัย
เพราะการจัด“โกเต๊กซ์” ให้ทหารแนวหน้าพกติดตัวกันกล่องครึ่งกล่อง
พวกทหารด้วยกันเองก็พอช่วยเหลือได้กระมังวิธีง่ายๆคือ
ขอเพียงให้ทหารนักกอล์ฟทั้งหลาย งดเล่นกอล์ฟกันคนสักอาทิตย์
แล้วสละเงินค่า Green fee สมทบให้เป็นทุนก็น่าจะเพียงพอแล้ว
เพราะขนาดทหารในแนวรบ ปะทะกันกับเขมรแบบเอาเป็นเอาตายอยู่นั้น
นายทหารทั้งในกรุงนอกกรุง ก็ยังตีกอล์ฟสบายใจเฉิบกันดีอยู่
ผมจึงขอแนะนำคุณวาสนา ให้เรี่ยไรจากนายทหารในกรุงนี่แหละ
ไม่ต้องไปบอกบุญกับประชาชน เดี๋ยวเขมรทันจะเย้ยใยไพเอาได้ว่า
กองทัพบ้านเราเป็น “กองทัพขอทาน” เสียชื่อเปล่าๆไม่เข้าการ
การปะทะกันระหว่างเขมรกับไทยในครั้งนี้ ในฐานะที่เป็นมือข่าวเก่า
ผมก็ไปคุยสำรวจความคิดเห็นของประชาชน ได้ข้อมูลมาว่า
คนไทยไม่ตื่นเต้นกับเหตุการณ์เท่าไหร่ ทั้งนี้เพราะ
หลังจากพี่น้องประชาชน ถูกสังหารหมู่โดยทหาร
ระหว่างการสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อปีกลาย
เรื่องรู้กันไปทั่วโลก!
ความสัมพันธ์ระหว่างของคนในชาติกับทหาร
ก็ทรุดโทรมลงและทหารได้ถูกเกลียดชังโดยผู้คนจำนวนมาก
เพราะดันไปสนองคำสั่งของนักการเมือง ถึงกับฆ่าฟันพี่น้องเพื่อนร่วมชาติอย่างโหดเหี้ยม
อย่างที่ผมเขียนเอาไว้ในคอลัมน์ชื่อ
“ไทยรัฐ-ไทยร้าว”
แม้ประชาชนเขาไม่ได้เชียร์ทหาร อย่างที่พยายามออกข่าวประชาสัมพันธ์
แถมบางส่วนยังมีความรู้สึกเป็นศัตรูด้วยซ้ำ ถึงกระนั้นคนไทยเขาห่วงใยชาวบ้านชายแดน
ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมชาติ ที่ต้องมารับเคราะห์
เพราะบ้านเรือนของพวกเขาอยู่ในระยะยิงของปืนใหญ่ และอาวุธปล่อยของฝ่ายตรงข้าม
การรบกันบริเวณชายแดนครั้งนี้
ทำให้ผมย้อนไปคิดถึงบทความที่เคยเขียนไว้ ชื่อบทความ คือ
‘บุญสร้าง’ อย่าเป็น ‘บุญเสี้ยม’ โดยตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ ‘ประชาทรรศน์’
เมื่อ 20 กรกฎาคม 2551 ขึ้นมาทันที
เหตุที่เขียนเพราะผมเห็นว่า ผู้บัญชาการทหารสูงสุดในตอนนั้น คือ
พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ มักให้สัมภาษณ์สวนทางกับรัฐบาลของคุณสมัครอยู่เนืองๆ
ทั้งๆที่รัฐบาลในขณะนั้น
พยายามแก้ไขปัญหาความสัมพันธ์ทางชายแดนอย่างเต็มกำลังสติปัญญา
ยิ่งไปกว่านั้น วิทยุคลื่น FM 101 MHz ของกองบัญชาการทหารสูงสุด
หรือกองบัญชาการกองทัพไทย ก็วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลนายกฯสมัครอย่างเต็มที่
แบบเดียวกับที่เลียตูดรัฐบาลของนายมาร์ค มุกควาย ในขณะนี้
ขอตัดตอนบทความดังกล่าว มานำเสนอท่านผู้อ่านอีกครั้งในวันนี้
เพื่อให้ท่านผู้อ่าน พิจารณาดูว่า สิ่งที่ผมเขียนไว้เมื่อ 2 ปีกว่า กับเหตุการณ์ปัจจุบัน
มีความละม้ายคล้ายคลึงกันอย่างไร
ผมเขียนเอาไว้อย่างนี้ครับ...
...การเปิดเวทีของพันธมิตรฯ ซึ่งตั้งค่ายกลเคลื่อนไปมา
แต่อยู่ไม่ห่างจากทำเนียบ ระดมโจมตีรัฐบาลกันตั้งแต่หัวค่ำจนอุษาสาง
แถมไม่กี่วันที่ผ่านมา ยังมีนายทหารชั้นนายพลใกล้เกษียณ
อุตส่าห์แต่งเครื่องแบบ กระย่องกระแย่งขึ้นเวที ไปอวดศักดา ร่วมด่ารัฐบาลกลางถนน
เป็นที่น่า “สังเวช” ใจยิ่งนัก
อย่าว่าแต่ประชาชนคนธรรมดา
เขาจะรุมด่ากันทั้งในวงกาแฟและเว็บไซต์ต่างๆ แม้แต่พลทหาร
ยังวิจารณ์เอาเสียๆ หายๆ อีกด้วย!
ผมเองไม่ใส่ใจในเรื่องใครจะขึ้นเวทีพันธมิตรฯ
หรือใครจะขึ้นช้างลงม้าพาไปนรกหรือสวรรค์ชั้นไหน?
ห่วงอยู่แค่การเป็นคนไทยแล้ว ไปพูดจาให้บ้านเมืองของเรา
กระทบกระทั่งกับชาติอื่นเขา ทำให้สถานการณ์ตามแนวชายแดนตึงเครียดขึ้นมานั้น
ก็อยากจะให้รำลึกถึงอดีต ที่มีตัวอย่างให้เห็นกัน เช่น
กรณีในการพาชาติของเราเข้าสู่สถานการณ์รบพุ่งที่ไม่จำเป็น
ขอให้ดูสงครามที่ บ้านร่มเกล้า เอาไว้เป็นเครื่องเตือนใจ
การปะทะกันด้วยกำลังทหารของทั้งสองฝ่ายนั้นหนักหน่วง
รบกันเพียงไม่กี่วันก็จริง แต่เงินทองของชาติที่ใช้ไปในการนั้น
ได้สิ้นเปลืองนับพันล้าน แถมยังมีกรณีน่าสลดใจ
เพราะมีการทิ้งระเบิดผิดพลาดของฝ่ายเราเอง ทำให้ทหารไทยที่ถึงคราวเคราะห์
ตายไปอีก...หลายร้อยศพ!
ความเสียหายอื่นยังมีให้เห็นอีก
เพราะเครื่องบินเรายังถูกยิงตก มีทั้ง เอฟ 5 อี และ โอวี 10
แถมนักบิน 3 นาย ยังถูกฝ่ายลาวจับเป็นเชลยอีกด้วย
นายพลอย่าง บิ๊กจิ๋ว เจ้าของฉายา “ขงเบ้งเมืองไทย” กลายเป็น “ขงบูด”
(แทบจะเป็น “ขงบ้า” ด้วยซ้ำ) ต้องบินไปเมืองลาวอย่างน่าสงสาร
และน่าอับอาย
เพราะต้องไปขอจูบปากกับผู้นำของเขา ขอญาติดีด้วย เรื่องราวก็สงบลงไปได้
แต่คนไทยรู้หรือเปล่าว่า...
ที่เมืองลาวนั้น เขาจัดฉลอง “วันรบชนะไทย” ในนครเวียงจันทน์กันใหญ่โตมโหฬาร
ครึกครื้นกันไปทั้งเมือง!
ฉะนั้น ต้องบอกกันตรงไปตรงมาว่า...
คนที่เป็นนายทหาร จะพูดจาไม่ว่าการให้สัมภาษณ์
หรือพูดในที่สาธารณะ ทำให้กลายเป็นชนวนก่อศึก ชาติที่เขากระทบกระเทือน
ก็จะบันทึกเอาไว้เป็นหลักเป็นฐานโดยละเอียด จึงน่าจะใคร่ครวญให้มากๆ
เพราะไม่ว่า ‘นายพลบุญสร้าง’ จะไปพูดที่ไหน พูดว่าอย่างไร
เขาบันทึกไว้หมด!
นอกจากมีนายพลขึ้นเวทีให้คนด่าเล่นแล้ว
ส่วนตัวผมก็ยังเห็นว่า แม้ ผบ.สูงสุด คนนี้มีพฤติกรรมพูดจาอวดภูมิ
ทำเป็นพระเอก แต่สวนทางกับรัฐบาลตลอดมาอย่างสม่ำเสมอ
ในกรณีปราสาทเขาพระวิหารนี่ก็เหมือนกัน
เจ้ากรมแผนที่ ซึ่งเป็นฝ่ายทหารที่ไปดำเนินการร่วมกับฝ่ายรัฐบาล
พร้อมกับหน่วยงานความมั่นคง และกระทรวงการต่างประเทศ
ก็สังกัดกองบัญชาการทหารสูงสุด ที่ตัวเองเป็นผู้บังคับบัญชาอยู่ แล้ว
นายพลบุญสร้างจะมาทำเป็นไม่รับรู้ได้อย่างไรกัน?
การที่รัฐบาลไปจัดการเรื่องมรดกโลก
ก็ทำไปด้วยความระมัดระวังรอบคอบ
เหมือนอย่างที่ชาติของเราได้เคยทำกันมาทุกครั้งทุกครา
เพียงแต่เรื่องการขัดรัฐธรรมนูญนั้น
บังเอิญมันเป็นเรื่องใหม่ ที่ไม่เคยพบเห็นกันมาก่อน
ก็แค่นั้นเอง...ไม่มีอะไรนักหนาเลยจริงๆ
อย่าไปใส่ใจอะไรกับฝ่ายค้านดักดานของตามาร์ค
ก็ขนาดหม่อมเสนีย์ อดีตหัวหน้าพรรค
ทนายที่ว่าความเรื่องเขาพระวิหารเองแท้ๆ บุญพาวาสนาส่ง ไ
ด้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ตะแกก็ไม่เคยคิดจะทวงคืนจากเขมรเลย
เพราะแกรู้ดีว่าปราสาทมันเป็นของเขา ไม่ใช่ของเรา
อย่าว่าแต่เรื่องทวง
แม้จะพูดถึงยังไม่เคยพูดถึงเลย ไปตรวจหลักฐานดูได้
แม้แต่ “ตาชวน” ขึ้นเป็นนายกฯ แกก็ไม่เคยทวงเหมือนกัน...ไม่เชื่อไปถามดู!
การที่หน่วยราชการสมัครสมานสามัคคี ร่วมกันทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง
ก็เป็นปฏิบัติการ เหมือนกับแนวทางที่เราเคยปฏิบัติมา
หรือต้องเจรจาต้าอ่วยกับต่างประเทศในเรื่องแบบนี้นั้น ทุกรัฐบาล
ก็ต้องใช้องคาพยพทั้งมวล ของส่วนราชการที่เรามีอยู่ ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ
ผลออกมาใครจะว่ามีอะไรเสียหายนั้น ก็ต้องแล้วแต่จะคิด
สำหรับผมเองนั้น ในเรื่องปราสาทเขาพระวิหาร
ก็ดูแล้วดูอีก ทั้งเอกสารภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ก็เห็นว่า
รัฐบาลนั้น...ทำถูกต้องแล้ว!
ที่พูดอย่างนี้ อาจเห็นแย้งกับท่านอื่น ก็ไม่ว่ากัน เพราะหากเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง คือ
ถ้าอยู่ในฐานะรัฐมนตรีต่างประเทศ เช่นเดียวกับ คุณนพดล ปัทมะ รับรองว่า
ผมจะต้องทำ...อย่างเดียวกัน!!
ดังนั้น การที่นายพลบุญสร้าง
ในฐานะ ผบ.สูงสุด ออกมาจัดการสัมมนาหาข้อยุติ
หรือข้อสรุปในเรื่องเขาพระวิหาร เป็นการจัดการหลังเหตุการณ์ยุติลงแล้ว
ประโยชน์โพดผลอะไรก็มีน้อย แถมยังมีข้อเสนอสะเหร่อๆ
อย่างกรณีให้ “ล้อมรั้ว” ตัวปราสาทเขาพระวิหารนั้น...
ฟังแล้ว “ไม่เข้าท่า” เลยจริงๆ!
ยังดีอยู่หน่อย เพราะเมื่อไม่กี่วันมานี้
ผมฟังวิทยุรายการหนึ่งเสนอคล้ายๆ กัน บอกให้สร้างกำแพง
แบบกำแพงเบอร์ลินกั้นสูงเอาไว้ ใครจะแหงนคอจนแทบหลุดจากที่ตั้งบนบ่า
ก็มองไม่เห็นปราสาทเขาพระวิหาร
ดูสิ...คิดบ้าๆ กันได้ถึงขนาดนี้!
ถ้าเกิดอุณหภูมิของสองชาติ คือไทยเรากับเพื่อนบ้าน
ซึ่งถูกปลุกปั่นกันอย่างทุกวันนี้ จนร้อนจัดปรอทแตก
เป็นเหตุให้เราต้องโจนเข้าสู่สถานการณ์รบ
หรือมีศึกสงครามต่อกัน ก็อยากให้ นายพลบุญสร้างลองสำรวจดูหรือยังว่า
- กำลังรบของกองทัพไทย ว่าอยู่ใน “สภาพพร้อมรบ” สักกี่กองพลกัน?
- รบกันแล้ว จะเป็น “ผลดี” กับชาติบ้านเมืองอย่างไร?
ขอบอกว่า ผมมีข้อมูลพวกนี้ จึงขอให้ใช้กบาลคิดกันหนักๆ อย่าโง่กันนักเลย!
สำหรับหน่วยในบังคับบัญชาของ พล.อ.บุญสร้าง ต้องขอย้อนไปไม่ไกลนัก
ยังจำได้หรือเปล่าว่า เมื่อต้นปี พ.ศ.2547 หน่วยงานในกำกับ
ดูแลของนายพลบุญสร้างเองคือ กองพันทหารพัฒนาที่ภาคใต้
ได้ถูกผู้ก่อความไม่สงบปล้นค่ายแบบ...
“ยกกองพัน” ...น่าอับอายเป็นที่สุด!
ผมเคยเขียนเรื่องนี้เอาไว้ เมื่อครั้งอยู่ค่ายผู้จัดการ
และได้เล่าให้ผู้อ่านฟังว่า เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
ตั้งแต่พระปฐมบรมกษัตริย์ของชาวไทย
ได้ทรงตั้งพระบรมราชจักรีวงศ์ สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์
ค่ายทหารไทยเรา โดน “ตีแตก” ในแผ่นดินของตัวเอง!!
น่าเสียใจมากยิ่งขึ้นตรงที่ ไม่ได้เกิดจากฝีมือของทหารชาติอื่น
หากแต่ถูกผู้ก่อการร้าย ที่เป็นคนในบ้านเราเองแท้ๆ ไม่ใช่ทหารที่ไหน
แต่เป็นชาวบ้านธรรมดาๆ ได้รับการฝึกปรือเพียงเล็กน้อย แบบงูๆ ปลาๆ แท้ๆ
แต่พวกนี้ก็ยังสามารถรุกเข้าตี
จนฝ่ายทหารไทยแตกยับย่อยถอยร่น ทิ้งค่าย
กระเสือกกระสนหนีตายเอาตัวรอด แบบตัวใครตัวมัน
ส่วนที่เหลือก็ต้องยอมจำนนทั้งค่าย
นายทหารอย่างนายพลบุญสร้าง จะอายหรือไม่?
ก็ไม่รู้ แต่ถ้าไม่อาย
ผมขออายแทนแก...ก็แล้วกัน!!!
ฉะนั้น แม้จะมีตำแหน่งสูง แต่ก็อย่ามาทำปากเก่งให้มากนัก
เพราะการกระทำของท่านที่ปรากฏต่อสาธารณะ
นอกจากไม่ได้ช่วยเหลืออะไรชาติบ้านเมืองแล้ว
ยังสร้างความขัดแย้งขึ้นมาด้วยซ้ำ
เหมือนการ “เสี้ยม” ให้เกิดความแตกร้าวขึ้นในประเทศ
ใครที่อ่านข้อเขียนนี้ เกิดเห็นคล้อยตามผม และมีอารมณ์ขึ้นมา
ไม่เรียกท่านว่า “บุญสร้าง”
แต่ไพล่ไปเรียกเป็น “บุญเสี้ยม” หรือ “บุญแสบ” แทน ก็จะขัดใจกันเท่านั้น...
ท่านผู้อ่านที่เคารพครับ
วันนี้ ผมเอาเรื่องเก่ามาเล่าใหม่อีกครั้ง เมื่อท่านผู้อ่านที่เคารพได้อ่านแล้ว
โปรดใช้วิจารณญาณเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ปัจจุบัน ว่า
มีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร?
แต่อยากบอก สักนิดว่า...
นายมาร์ค มุกควาย เมื่อครั้งเป็นฝ่ายค้าน ร่วมกับกลุ่มพันธมิตร
ใช้ประเด็นปราสาทเขาพระวิหาร เป็นเครื่องถล่มรัฐบาลของคุณสมัคร สุนทรเวช
มาถึงวันนี้ กลุ่มพันธมิตร ใช้ประเด็นเดียวกัน
ย้อนกลับมาเป็นเครื่องมือ ถล่มรัฐบาลโลซกของนายกฯมุกควายเข้าให้บ้าง
ที่สะพานมัฆวานวันนี้
กลุ่มพันธมิตรซึ่งเคยร่วมหัวจมท้าย และรักกันดูดดื่มมาก่อนกับพรรคประชาธิเปรต
กลับออกมาเป็นฝ่ายกล่าวหา และปราศรัยถลกหนังพรรคดักดาน
ให้เห็นความอัปรีย์ของพรรคนี้ ในเรื่องการทุจริตฉ้อฉล
ทั้งในปัจจุบันและในอดีต รวมทั้งความประพฤติที่เบี่ยงเบนของนายมาร์ค มุกควาย
และพฤติกรรมตอแหล พูดจาโกหกไม่อยู่กับร่องรอย
ชนิด ‘นาธาน’ ยังต้องเรียก ‘พี่’!
ไม่เว้นแม้แต่เรื่องเก่าของโฆษกส่วนตัวนายมาร์ค
ที่ตอนนี้ผู้คนเขาเรียกด้วยความขบขันว่า
“ไอ้เทพไท ผีลูกถ้วย!”
แม้ประชาชนจะเดือดร้อนเพราะการจราจร
เพราะการชุมนุมของพันธมิตร แต่พอถึงตอนค่ำผู้คนหูก็ผึ่ง คอยฟังว่า
วันนี้จะมีเรื่องความจังไรของประชาธิเปรต ออกมาอีกกี่เรื่อง กี่ชุด ก็ครึกครื้นดี
ดังนั้น ชุมนุมกันต่อไปอีกสัก 365 วัน ก็คงจะวิเศษ!
[img][/img]
การรบกับเขมรครั้งนี้
ยังความสูญเสียซึ่งชีวิตของทั้งราษฎรและทหาร
รวมถึงทรัพย์สินเสียหายมากมาย
พี่น้องประชาชนนับหมื่น ต้องอพยพในประเทศของตัวเอง
น่าอนาถนัก!
อีกทั้งสถานการณ์ยังโดนตอกย้ำ
ด้วยการตกของเครื่องบิน F 16 อีกสองลำ
ในระหว่างที่ควันสงครามกรุ่นอยู่นั้น ทำให้ราษฎรเสียขวัญ พากันลือว่า...
สงสัยจะไปซื้อของ ‘เชียงกง’ อเมริกันมาใช้
แบบเดียวกับไอ้เรือเหาะที่ดันเหาะไม่ได้ ใช่หรือเปล่า?
ยิ่งเข้าทาง “ฮุนเซน” เลย!!
เผลอๆ เขมรหัวใสอย่างฮุนเซน
จะถึงฉกฉวยโอกาสงามๆอย่างนี่ ชิงพื้นที่โฆษณาตัวเอง
จัดฉลอง “วันรบชนะไทย” ขึ้นในกรุงพนมเปญ
เหมือนกับลาวที่จัดเป็นงานใหญ่โต ในนครเวียงจันทร์!
ตกลงเรา ‘แพ้สงคราม’ ชาติเพื่อนบ้านเกือบหมดแล้ว
ทั้งพม่า ลาว เขมร ขาดแต่มาเลเซีย เพราะยังไม่ได้รบกันเท่านั้น!!
โดนประเทศต่างๆเยาะเย้ยว่า เป็นชาติ ‘ขี้แพ้’ มันปวดทั้งหัวใจ...และไข่ดัน นะครับ!!!
...................
หมายเหตุ มีแฟนคอลัมน์แนะนำผม ขอให้พวกเราคนไทยช่วยกันแช่งให้
“ไอ้รัฐบาลโลซก มันตกเหมือน F 16 บ้าง!”
ท่านผู้อ่านล่ะครับ คิดอย่างไร?
(คอลัมน์ เขมรจะจัดฉลอง “วันรบชนะไทย” ออนไลน์ วันเสาร์ ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2554)
http://www.vattavan.com/detail.php?cont_id=280
เมื่อสัปดาห์ก่อนได้เล่าถึงเรื่องผู้หญิงอีสาน ต้องนุ่งผ้าถุงสองผืน
เพราะในอดีตสตรีของภาคนี้ จำต้องอพยพเดินทางตลอด
เนื่องจากถูกผู้ปกครองกดขี่บังคับ บางครั้งก็โดนกวาดต้อนไปเป็นเชลยบ้าง
หรือเพราะต้องหลบภัยสงครามบ้าง จนติดเป็นนิสัย
ดังนั้น เมื่อเกิดศึกกับเขมรเมื่อต้นเดือน ก.พ. 2554 ชาวบ้านที่เป็นผู้หญิง
ก็ต้องทำเหมือนบรรพบุรุษ ที่ต้องสวมผ้าถุงสองชั้น แล้วอพยพหนีตายออกจากบ้าน
นี่เป็นเพราะคนไทยและประเทศของเราโชคร้าย ดันไปได้...
“รัฐบาล-กาลี” ที่หาเรื่องตบตีกับเพื่อนบ้านเขาเรื่อยไป นั่นเอง!
หลังเกิดเหตุการณ์ปะทะใหม่ เมื่อถึงวันเสาร์ที่ผ่านมา (12 ก.พ.2554)
ผมได้ฟังวิทยุ “รายการลับลวงพลาง” ทางคลื่น อ.ส.ม.ท. Fm 100.5 MHz
วาสนา นาน่วม นักข่าวสายทหารของ ‘บางกอกโพสต์’ ได้เล่าถึง
ความขาดแคลนสิ่งของเครื่องใช้ ของทหารในแนวหน้า ได้ยินแล้วให้แปลกใจ
เพราะเธอเล่าว่า
สิ่งที่ทหารในแนวหน้าต้องการมาก คือ
ผ้าอนามัยสตรี สำหรับซับเลือดและห้ามเลือด
เมื่อยามได้รับบาดเจ็บและเกิดบาดแผลอันเกิดจากการสู้รบ
เพราะผ้าอนามัยมีประสิทธิภาพดีกว่าผ้าหรือสำลีทางการแพทย์ ที่แน่ๆคือ
ใช้ได้สะดวกกว่านั่นเอง!
ผมเองไม่ได้รบพุ่งกับใครมานานมากแล้ว เลยไม่ทันสมัย
เพียงแต่รู้ว่าผ้าอนามัย หรือที่เรียกกันคุ้นปากว่า “โกเต๊กซ์”
ซึ่งเป็นผ้าอนามัยที่โด่งดังมาก่อนยี่ห้ออื่นนั้น
ตำรวจจราจรเคยใช้ปิดจมูก ระหว่างปฏิบัติหน้าที่บนท้องถนนมานมนานแล้ว
[img][/img]
คุณวาสนา นาน่วม ได้ชักชวนให้คนไทย ช่วยกันบริจาค “โกเต๊กซ์” ให้ทหาร
มีใครบริจาคให้ไปกันบ้างหรือยัง ก็ยังไม่ได้ไต่ถาม แต่สำหรับผมแล้วเห็นว่า
ไม่ถึงกับต้องให้ประชาชนซื้อผ้าอนามัย
เพราะการจัด“โกเต๊กซ์” ให้ทหารแนวหน้าพกติดตัวกันกล่องครึ่งกล่อง
พวกทหารด้วยกันเองก็พอช่วยเหลือได้กระมังวิธีง่ายๆคือ
ขอเพียงให้ทหารนักกอล์ฟทั้งหลาย งดเล่นกอล์ฟกันคนสักอาทิตย์
แล้วสละเงินค่า Green fee สมทบให้เป็นทุนก็น่าจะเพียงพอแล้ว
เพราะขนาดทหารในแนวรบ ปะทะกันกับเขมรแบบเอาเป็นเอาตายอยู่นั้น
นายทหารทั้งในกรุงนอกกรุง ก็ยังตีกอล์ฟสบายใจเฉิบกันดีอยู่
ผมจึงขอแนะนำคุณวาสนา ให้เรี่ยไรจากนายทหารในกรุงนี่แหละ
ไม่ต้องไปบอกบุญกับประชาชน เดี๋ยวเขมรทันจะเย้ยใยไพเอาได้ว่า
กองทัพบ้านเราเป็น “กองทัพขอทาน” เสียชื่อเปล่าๆไม่เข้าการ
การปะทะกันระหว่างเขมรกับไทยในครั้งนี้ ในฐานะที่เป็นมือข่าวเก่า
ผมก็ไปคุยสำรวจความคิดเห็นของประชาชน ได้ข้อมูลมาว่า
คนไทยไม่ตื่นเต้นกับเหตุการณ์เท่าไหร่ ทั้งนี้เพราะ
หลังจากพี่น้องประชาชน ถูกสังหารหมู่โดยทหาร
ระหว่างการสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อปีกลาย
เรื่องรู้กันไปทั่วโลก!
ความสัมพันธ์ระหว่างของคนในชาติกับทหาร
ก็ทรุดโทรมลงและทหารได้ถูกเกลียดชังโดยผู้คนจำนวนมาก
เพราะดันไปสนองคำสั่งของนักการเมือง ถึงกับฆ่าฟันพี่น้องเพื่อนร่วมชาติอย่างโหดเหี้ยม
อย่างที่ผมเขียนเอาไว้ในคอลัมน์ชื่อ
“ไทยรัฐ-ไทยร้าว”
แม้ประชาชนเขาไม่ได้เชียร์ทหาร อย่างที่พยายามออกข่าวประชาสัมพันธ์
แถมบางส่วนยังมีความรู้สึกเป็นศัตรูด้วยซ้ำ ถึงกระนั้นคนไทยเขาห่วงใยชาวบ้านชายแดน
ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมชาติ ที่ต้องมารับเคราะห์
เพราะบ้านเรือนของพวกเขาอยู่ในระยะยิงของปืนใหญ่ และอาวุธปล่อยของฝ่ายตรงข้าม
การรบกันบริเวณชายแดนครั้งนี้
ทำให้ผมย้อนไปคิดถึงบทความที่เคยเขียนไว้ ชื่อบทความ คือ
‘บุญสร้าง’ อย่าเป็น ‘บุญเสี้ยม’ โดยตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ ‘ประชาทรรศน์’
เมื่อ 20 กรกฎาคม 2551 ขึ้นมาทันที
เหตุที่เขียนเพราะผมเห็นว่า ผู้บัญชาการทหารสูงสุดในตอนนั้น คือ
พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ มักให้สัมภาษณ์สวนทางกับรัฐบาลของคุณสมัครอยู่เนืองๆ
ทั้งๆที่รัฐบาลในขณะนั้น
พยายามแก้ไขปัญหาความสัมพันธ์ทางชายแดนอย่างเต็มกำลังสติปัญญา
ยิ่งไปกว่านั้น วิทยุคลื่น FM 101 MHz ของกองบัญชาการทหารสูงสุด
หรือกองบัญชาการกองทัพไทย ก็วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลนายกฯสมัครอย่างเต็มที่
แบบเดียวกับที่เลียตูดรัฐบาลของนายมาร์ค มุกควาย ในขณะนี้
ขอตัดตอนบทความดังกล่าว มานำเสนอท่านผู้อ่านอีกครั้งในวันนี้
เพื่อให้ท่านผู้อ่าน พิจารณาดูว่า สิ่งที่ผมเขียนไว้เมื่อ 2 ปีกว่า กับเหตุการณ์ปัจจุบัน
มีความละม้ายคล้ายคลึงกันอย่างไร
ผมเขียนเอาไว้อย่างนี้ครับ...
...การเปิดเวทีของพันธมิตรฯ ซึ่งตั้งค่ายกลเคลื่อนไปมา
แต่อยู่ไม่ห่างจากทำเนียบ ระดมโจมตีรัฐบาลกันตั้งแต่หัวค่ำจนอุษาสาง
แถมไม่กี่วันที่ผ่านมา ยังมีนายทหารชั้นนายพลใกล้เกษียณ
อุตส่าห์แต่งเครื่องแบบ กระย่องกระแย่งขึ้นเวที ไปอวดศักดา ร่วมด่ารัฐบาลกลางถนน
เป็นที่น่า “สังเวช” ใจยิ่งนัก
อย่าว่าแต่ประชาชนคนธรรมดา
เขาจะรุมด่ากันทั้งในวงกาแฟและเว็บไซต์ต่างๆ แม้แต่พลทหาร
ยังวิจารณ์เอาเสียๆ หายๆ อีกด้วย!
ผมเองไม่ใส่ใจในเรื่องใครจะขึ้นเวทีพันธมิตรฯ
หรือใครจะขึ้นช้างลงม้าพาไปนรกหรือสวรรค์ชั้นไหน?
ห่วงอยู่แค่การเป็นคนไทยแล้ว ไปพูดจาให้บ้านเมืองของเรา
กระทบกระทั่งกับชาติอื่นเขา ทำให้สถานการณ์ตามแนวชายแดนตึงเครียดขึ้นมานั้น
ก็อยากจะให้รำลึกถึงอดีต ที่มีตัวอย่างให้เห็นกัน เช่น
กรณีในการพาชาติของเราเข้าสู่สถานการณ์รบพุ่งที่ไม่จำเป็น
ขอให้ดูสงครามที่ บ้านร่มเกล้า เอาไว้เป็นเครื่องเตือนใจ
การปะทะกันด้วยกำลังทหารของทั้งสองฝ่ายนั้นหนักหน่วง
รบกันเพียงไม่กี่วันก็จริง แต่เงินทองของชาติที่ใช้ไปในการนั้น
ได้สิ้นเปลืองนับพันล้าน แถมยังมีกรณีน่าสลดใจ
เพราะมีการทิ้งระเบิดผิดพลาดของฝ่ายเราเอง ทำให้ทหารไทยที่ถึงคราวเคราะห์
ตายไปอีก...หลายร้อยศพ!
ความเสียหายอื่นยังมีให้เห็นอีก
เพราะเครื่องบินเรายังถูกยิงตก มีทั้ง เอฟ 5 อี และ โอวี 10
แถมนักบิน 3 นาย ยังถูกฝ่ายลาวจับเป็นเชลยอีกด้วย
นายพลอย่าง บิ๊กจิ๋ว เจ้าของฉายา “ขงเบ้งเมืองไทย” กลายเป็น “ขงบูด”
(แทบจะเป็น “ขงบ้า” ด้วยซ้ำ) ต้องบินไปเมืองลาวอย่างน่าสงสาร
และน่าอับอาย
เพราะต้องไปขอจูบปากกับผู้นำของเขา ขอญาติดีด้วย เรื่องราวก็สงบลงไปได้
แต่คนไทยรู้หรือเปล่าว่า...
ที่เมืองลาวนั้น เขาจัดฉลอง “วันรบชนะไทย” ในนครเวียงจันทน์กันใหญ่โตมโหฬาร
ครึกครื้นกันไปทั้งเมือง!
ฉะนั้น ต้องบอกกันตรงไปตรงมาว่า...
คนที่เป็นนายทหาร จะพูดจาไม่ว่าการให้สัมภาษณ์
หรือพูดในที่สาธารณะ ทำให้กลายเป็นชนวนก่อศึก ชาติที่เขากระทบกระเทือน
ก็จะบันทึกเอาไว้เป็นหลักเป็นฐานโดยละเอียด จึงน่าจะใคร่ครวญให้มากๆ
เพราะไม่ว่า ‘นายพลบุญสร้าง’ จะไปพูดที่ไหน พูดว่าอย่างไร
เขาบันทึกไว้หมด!
นอกจากมีนายพลขึ้นเวทีให้คนด่าเล่นแล้ว
ส่วนตัวผมก็ยังเห็นว่า แม้ ผบ.สูงสุด คนนี้มีพฤติกรรมพูดจาอวดภูมิ
ทำเป็นพระเอก แต่สวนทางกับรัฐบาลตลอดมาอย่างสม่ำเสมอ
ในกรณีปราสาทเขาพระวิหารนี่ก็เหมือนกัน
เจ้ากรมแผนที่ ซึ่งเป็นฝ่ายทหารที่ไปดำเนินการร่วมกับฝ่ายรัฐบาล
พร้อมกับหน่วยงานความมั่นคง และกระทรวงการต่างประเทศ
ก็สังกัดกองบัญชาการทหารสูงสุด ที่ตัวเองเป็นผู้บังคับบัญชาอยู่ แล้ว
นายพลบุญสร้างจะมาทำเป็นไม่รับรู้ได้อย่างไรกัน?
การที่รัฐบาลไปจัดการเรื่องมรดกโลก
ก็ทำไปด้วยความระมัดระวังรอบคอบ
เหมือนอย่างที่ชาติของเราได้เคยทำกันมาทุกครั้งทุกครา
เพียงแต่เรื่องการขัดรัฐธรรมนูญนั้น
บังเอิญมันเป็นเรื่องใหม่ ที่ไม่เคยพบเห็นกันมาก่อน
ก็แค่นั้นเอง...ไม่มีอะไรนักหนาเลยจริงๆ
อย่าไปใส่ใจอะไรกับฝ่ายค้านดักดานของตามาร์ค
ก็ขนาดหม่อมเสนีย์ อดีตหัวหน้าพรรค
ทนายที่ว่าความเรื่องเขาพระวิหารเองแท้ๆ บุญพาวาสนาส่ง ไ
ด้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ตะแกก็ไม่เคยคิดจะทวงคืนจากเขมรเลย
เพราะแกรู้ดีว่าปราสาทมันเป็นของเขา ไม่ใช่ของเรา
อย่าว่าแต่เรื่องทวง
แม้จะพูดถึงยังไม่เคยพูดถึงเลย ไปตรวจหลักฐานดูได้
แม้แต่ “ตาชวน” ขึ้นเป็นนายกฯ แกก็ไม่เคยทวงเหมือนกัน...ไม่เชื่อไปถามดู!
การที่หน่วยราชการสมัครสมานสามัคคี ร่วมกันทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง
ก็เป็นปฏิบัติการ เหมือนกับแนวทางที่เราเคยปฏิบัติมา
หรือต้องเจรจาต้าอ่วยกับต่างประเทศในเรื่องแบบนี้นั้น ทุกรัฐบาล
ก็ต้องใช้องคาพยพทั้งมวล ของส่วนราชการที่เรามีอยู่ ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ
ผลออกมาใครจะว่ามีอะไรเสียหายนั้น ก็ต้องแล้วแต่จะคิด
สำหรับผมเองนั้น ในเรื่องปราสาทเขาพระวิหาร
ก็ดูแล้วดูอีก ทั้งเอกสารภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ก็เห็นว่า
รัฐบาลนั้น...ทำถูกต้องแล้ว!
ที่พูดอย่างนี้ อาจเห็นแย้งกับท่านอื่น ก็ไม่ว่ากัน เพราะหากเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง คือ
ถ้าอยู่ในฐานะรัฐมนตรีต่างประเทศ เช่นเดียวกับ คุณนพดล ปัทมะ รับรองว่า
ผมจะต้องทำ...อย่างเดียวกัน!!
ดังนั้น การที่นายพลบุญสร้าง
ในฐานะ ผบ.สูงสุด ออกมาจัดการสัมมนาหาข้อยุติ
หรือข้อสรุปในเรื่องเขาพระวิหาร เป็นการจัดการหลังเหตุการณ์ยุติลงแล้ว
ประโยชน์โพดผลอะไรก็มีน้อย แถมยังมีข้อเสนอสะเหร่อๆ
อย่างกรณีให้ “ล้อมรั้ว” ตัวปราสาทเขาพระวิหารนั้น...
ฟังแล้ว “ไม่เข้าท่า” เลยจริงๆ!
ยังดีอยู่หน่อย เพราะเมื่อไม่กี่วันมานี้
ผมฟังวิทยุรายการหนึ่งเสนอคล้ายๆ กัน บอกให้สร้างกำแพง
แบบกำแพงเบอร์ลินกั้นสูงเอาไว้ ใครจะแหงนคอจนแทบหลุดจากที่ตั้งบนบ่า
ก็มองไม่เห็นปราสาทเขาพระวิหาร
ดูสิ...คิดบ้าๆ กันได้ถึงขนาดนี้!
ถ้าเกิดอุณหภูมิของสองชาติ คือไทยเรากับเพื่อนบ้าน
ซึ่งถูกปลุกปั่นกันอย่างทุกวันนี้ จนร้อนจัดปรอทแตก
เป็นเหตุให้เราต้องโจนเข้าสู่สถานการณ์รบ
หรือมีศึกสงครามต่อกัน ก็อยากให้ นายพลบุญสร้างลองสำรวจดูหรือยังว่า
- กำลังรบของกองทัพไทย ว่าอยู่ใน “สภาพพร้อมรบ” สักกี่กองพลกัน?
- รบกันแล้ว จะเป็น “ผลดี” กับชาติบ้านเมืองอย่างไร?
ขอบอกว่า ผมมีข้อมูลพวกนี้ จึงขอให้ใช้กบาลคิดกันหนักๆ อย่าโง่กันนักเลย!
สำหรับหน่วยในบังคับบัญชาของ พล.อ.บุญสร้าง ต้องขอย้อนไปไม่ไกลนัก
ยังจำได้หรือเปล่าว่า เมื่อต้นปี พ.ศ.2547 หน่วยงานในกำกับ
ดูแลของนายพลบุญสร้างเองคือ กองพันทหารพัฒนาที่ภาคใต้
ได้ถูกผู้ก่อความไม่สงบปล้นค่ายแบบ...
“ยกกองพัน” ...น่าอับอายเป็นที่สุด!
ผมเคยเขียนเรื่องนี้เอาไว้ เมื่อครั้งอยู่ค่ายผู้จัดการ
และได้เล่าให้ผู้อ่านฟังว่า เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
ตั้งแต่พระปฐมบรมกษัตริย์ของชาวไทย
ได้ทรงตั้งพระบรมราชจักรีวงศ์ สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์
ค่ายทหารไทยเรา โดน “ตีแตก” ในแผ่นดินของตัวเอง!!
น่าเสียใจมากยิ่งขึ้นตรงที่ ไม่ได้เกิดจากฝีมือของทหารชาติอื่น
หากแต่ถูกผู้ก่อการร้าย ที่เป็นคนในบ้านเราเองแท้ๆ ไม่ใช่ทหารที่ไหน
แต่เป็นชาวบ้านธรรมดาๆ ได้รับการฝึกปรือเพียงเล็กน้อย แบบงูๆ ปลาๆ แท้ๆ
แต่พวกนี้ก็ยังสามารถรุกเข้าตี
จนฝ่ายทหารไทยแตกยับย่อยถอยร่น ทิ้งค่าย
กระเสือกกระสนหนีตายเอาตัวรอด แบบตัวใครตัวมัน
ส่วนที่เหลือก็ต้องยอมจำนนทั้งค่าย
นายทหารอย่างนายพลบุญสร้าง จะอายหรือไม่?
ก็ไม่รู้ แต่ถ้าไม่อาย
ผมขออายแทนแก...ก็แล้วกัน!!!
ฉะนั้น แม้จะมีตำแหน่งสูง แต่ก็อย่ามาทำปากเก่งให้มากนัก
เพราะการกระทำของท่านที่ปรากฏต่อสาธารณะ
นอกจากไม่ได้ช่วยเหลืออะไรชาติบ้านเมืองแล้ว
ยังสร้างความขัดแย้งขึ้นมาด้วยซ้ำ
เหมือนการ “เสี้ยม” ให้เกิดความแตกร้าวขึ้นในประเทศ
ใครที่อ่านข้อเขียนนี้ เกิดเห็นคล้อยตามผม และมีอารมณ์ขึ้นมา
ไม่เรียกท่านว่า “บุญสร้าง”
แต่ไพล่ไปเรียกเป็น “บุญเสี้ยม” หรือ “บุญแสบ” แทน ก็จะขัดใจกันเท่านั้น...
ท่านผู้อ่านที่เคารพครับ
วันนี้ ผมเอาเรื่องเก่ามาเล่าใหม่อีกครั้ง เมื่อท่านผู้อ่านที่เคารพได้อ่านแล้ว
โปรดใช้วิจารณญาณเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ปัจจุบัน ว่า
มีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร?
แต่อยากบอก สักนิดว่า...
นายมาร์ค มุกควาย เมื่อครั้งเป็นฝ่ายค้าน ร่วมกับกลุ่มพันธมิตร
ใช้ประเด็นปราสาทเขาพระวิหาร เป็นเครื่องถล่มรัฐบาลของคุณสมัคร สุนทรเวช
มาถึงวันนี้ กลุ่มพันธมิตร ใช้ประเด็นเดียวกัน
ย้อนกลับมาเป็นเครื่องมือ ถล่มรัฐบาลโลซกของนายกฯมุกควายเข้าให้บ้าง
ที่สะพานมัฆวานวันนี้
กลุ่มพันธมิตรซึ่งเคยร่วมหัวจมท้าย และรักกันดูดดื่มมาก่อนกับพรรคประชาธิเปรต
กลับออกมาเป็นฝ่ายกล่าวหา และปราศรัยถลกหนังพรรคดักดาน
ให้เห็นความอัปรีย์ของพรรคนี้ ในเรื่องการทุจริตฉ้อฉล
ทั้งในปัจจุบันและในอดีต รวมทั้งความประพฤติที่เบี่ยงเบนของนายมาร์ค มุกควาย
และพฤติกรรมตอแหล พูดจาโกหกไม่อยู่กับร่องรอย
ชนิด ‘นาธาน’ ยังต้องเรียก ‘พี่’!
ไม่เว้นแม้แต่เรื่องเก่าของโฆษกส่วนตัวนายมาร์ค
ที่ตอนนี้ผู้คนเขาเรียกด้วยความขบขันว่า
“ไอ้เทพไท ผีลูกถ้วย!”
แม้ประชาชนจะเดือดร้อนเพราะการจราจร
เพราะการชุมนุมของพันธมิตร แต่พอถึงตอนค่ำผู้คนหูก็ผึ่ง คอยฟังว่า
วันนี้จะมีเรื่องความจังไรของประชาธิเปรต ออกมาอีกกี่เรื่อง กี่ชุด ก็ครึกครื้นดี
ดังนั้น ชุมนุมกันต่อไปอีกสัก 365 วัน ก็คงจะวิเศษ!
[img][/img]
การรบกับเขมรครั้งนี้
ยังความสูญเสียซึ่งชีวิตของทั้งราษฎรและทหาร
รวมถึงทรัพย์สินเสียหายมากมาย
พี่น้องประชาชนนับหมื่น ต้องอพยพในประเทศของตัวเอง
น่าอนาถนัก!
อีกทั้งสถานการณ์ยังโดนตอกย้ำ
ด้วยการตกของเครื่องบิน F 16 อีกสองลำ
ในระหว่างที่ควันสงครามกรุ่นอยู่นั้น ทำให้ราษฎรเสียขวัญ พากันลือว่า...
สงสัยจะไปซื้อของ ‘เชียงกง’ อเมริกันมาใช้
แบบเดียวกับไอ้เรือเหาะที่ดันเหาะไม่ได้ ใช่หรือเปล่า?
ยิ่งเข้าทาง “ฮุนเซน” เลย!!
เผลอๆ เขมรหัวใสอย่างฮุนเซน
จะถึงฉกฉวยโอกาสงามๆอย่างนี่ ชิงพื้นที่โฆษณาตัวเอง
จัดฉลอง “วันรบชนะไทย” ขึ้นในกรุงพนมเปญ
เหมือนกับลาวที่จัดเป็นงานใหญ่โต ในนครเวียงจันทร์!
ตกลงเรา ‘แพ้สงคราม’ ชาติเพื่อนบ้านเกือบหมดแล้ว
ทั้งพม่า ลาว เขมร ขาดแต่มาเลเซีย เพราะยังไม่ได้รบกันเท่านั้น!!
โดนประเทศต่างๆเยาะเย้ยว่า เป็นชาติ ‘ขี้แพ้’ มันปวดทั้งหัวใจ...และไข่ดัน นะครับ!!!
...................
หมายเหตุ มีแฟนคอลัมน์แนะนำผม ขอให้พวกเราคนไทยช่วยกันแช่งให้
“ไอ้รัฐบาลโลซก มันตกเหมือน F 16 บ้าง!”
ท่านผู้อ่านล่ะครับ คิดอย่างไร?
(คอลัมน์ เขมรจะจัดฉลอง “วันรบชนะไทย” ออนไลน์ วันเสาร์ ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2554)
http://www.vattavan.com/detail.php?cont_id=280
lucky m.- Hero gen.seh member
- จำนวนข้อความ : 2803
Join date : 12/06/2010
Re: Hijack ประเทศไทย!!!วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
โฆษณา-กาลี...อัปรีย์สุดขีด!!!
วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
เมื่อ ต้นสัปดาห์นี้ เว็บไซด์ต่างๆ รวมถึงสื่อมวลชนอื่นๆ ได้พากันวิพากษ์วิจารณ์โฆษณาชิ้นหนึ่ง ซึ่งได้สร้างความขัดเคืองให้กับประชาชนผู้พบเห็นเป็นอย่างยิ่ง นั่นคือ
content/picdata/282/data/seat.jpg
โฆษณาชื่อ ‘อะมิโนพลัส’ ของบริษัทน้ำดื่มค่ายโออิชิ ที่ทะลึ่งไปติดป้ายบนรถไฟฟ้า BTS ว่า
"สำรองที่นั่งสำหรับ...คนขาว"
ข้อความดังกล่าวนำมาซึ่งอาการ “เม้าท์แตก” เกิดขึ้นในแวดวงต่างๆ มีวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง รวมทั้งมีการชักชวนกันไม่ให้ซื้อสินค้าดังกล่าว ซึ่งท่านผู้อ่านที่ยังไม่เคยเห็น สามารถหาดูได้จากเว็บพันทิพและอื่นๆ
ผมเองเคยเขียนวิพากษ์วิจารณ์งานโฆษณา ตั้งแต่ยังอยู่ค่าย “ผู้จัดการ” (manager.co.th) บาง ชิ้นที่ผมเห็นว่ามันไม่เข้าท่าหรือ “ห่วยแตก” ทำลายความรู้สึกของผู้คน และที่แย่ยิ่งไปกว่านั้น โฆษณาบางชิ้น ก็ยังดันเป็นงานของหน่วยงานราชการด้วยซ้ำไป
เหตุที่ต้องวิจารณ์หนักหน่วง แบบต้อง “ทุบกันให้แหลก” เพราะหากปล่อยไว้จะเป็นผลเสียหาย ไม่ว่าจะเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นกับสังคม หรือกับเยาวชน ลูกหลานของคนในชาติของเรา
จะละไว้หรือมองข้าม...ไม่ได้เด็ดขาด!
อยากจะยกมารื้อฟื้นความทรงจำ ให้กับท่านผู้อ่าน ชิ้นแรกคือโฆษณาของ “บริษัทการบินไทยจำกัด (มหาชน)” เกี่ยวกับการกระตุ้นเชิญชวนประชาชน “ซื้อหุ้น” ของบริษัท ซึ่งออกฉายเมื่อปี พ.ศ.2548
ภาพ โฆษณาฉายให้เห็น หญิงชายคู่หนึ่งนั่งติดกันในสนามบิน ผู้จะโดยสารเครื่องบินคนอื่นๆ นั่งกันเต็มห้องพักผู้โดยสาร มีเสียงเรียกพาสเซ็นเจอร์ออนบอร์ด หรือผู้โดยสารขึ้นเครื่อง ดังกังวานขึ้น
ผู้โดยสารอื่นเขาลุกขึ้นเดินไปประตูทางออก จะไปขึ้นเครื่อง ที่ห้องพักผู้โดยสารคงเหลือหนุ่มสาวคู่นี้นั่งเฉยอยู่
ฝ่ายหญิงหันคอเอี้ยวหน้ามาทางฝ่ายชาย เอ่ยถามขึ้นว่า
“จองตั๋วหรือยัง?”
ฝ่ายชายทำไม่รู้ร้อนรู้หนาว ตอบว่า
“ยัง”
ภาพแช่นิ่งนิดหนึ่ง ฝ่ายหญิงหันกลับมาถามอีก ว่า
“จองหุ้นการบินไทยหรือยัง?”
ฝ่ายชาย ตอบทื่อมะลื่อว่า
“ยัง”
ต่อไปนี้สำคัญคือ...
พอฝ่ายชายตอบจบ ภาพตัดวูบ มืดไปสองวิฯ ระหว่างความมืดมีเสียงดัง
‘เพียะ!’
(คล้ายเสียงฝ่ามือกระทบหน้า ของกริยาคือการ ‘ตบ’ )
สว่างขึ้นอีกครั้ง ก็ปรากฏภาพ...
ฝ่ายผู้ชายมีรอยนิ้วมือเป็นปื้นที่หน้า ห้านิ้วครบ แต่ยังดันนั่งทำหน้าโง่ ตาปะหลับปะเหลือก มือลูบคลำแก้ม ฝ่ายหญิงนั่งทำหน้าตูบ แล้วเมินไปอีกทางหนึ่ง!!
(มีเสียงประกาศ เชิญชวนให้จองหุ้นการบินไทยติดตามมา)
ผมไม่เข้าใจเลยว่า...ทำไมถึงมีการนำเสนอกันอย่างนี้!!!?
ดูภาพยนตร์โฆษณาชุดนี้แล้ว ต้องปลงอนิจจัง บอกกับเพื่อนที่นั่งดูด้วยว่า ประหลาดใจ ไม่รู้ว่าเขาคิดโฆษณาอย่างนี้ได้อย่างไร หัวคิดดีจริงๆ
เพราะเขาทำให้ฝ่ายชายนั้นดู “โง่” ได้มากที่สุดในโลก
หนอยแน่!...ดันอุตส่าห์พาเมียมาถึงสนามบิน จะขึ้นเครื่อง แต่...ตั๋วก็ยังไม่ได้ซื้อ!!
ฝ่ายหญิงผู้เป็นภริยา กริยามารยาทก็ช่างทรามเหลือกำลังรับ กำลังลาก เพราะแค่ผัวหรือแฟนตัวเอง ไม่ได้จองหุ้นการบินไทย ก็ลงมือตบตีทำร้ายผัวกลางสนามบิน ซึ่งเป็นที่สาธารณะเข้าให้แล้ว
ผมไม่รู้ว่าเขา จะสื่ออะไรกันกับท่านผู้ชม ? แต่หากให้ฝรั่งดู เขาคงบอกว่า
ผู้ชายไทยบ้านยูโง่บัดซบดีจังเลย ไอเกิดจากท้องพ่อท้องแม่ไม่เคยเห็นคนอะไรมันถึงโง่ได้เด็ดขาดอะไรอย่างนี้วะ!
และคงวิจารณ์ว่าผู้หญิงไทยนั้น โหดเหี้ยมและใจร้ายมาก คงจะมีนิสัยคล้ายฆาตกรหรือคนร้ายที่นิยมแต่ความรุนแรง และฝรั่งคงจะพูดต่อว่า
“...ถ้าจะให้ไอเอาผู้หญิงไทยมาเป็นเมีย คงต้องตอบว่า
โน! โน ! ไอกลัวว่ะ เพราะแค่ดูโฆษณาของสายการบินระดับชาติของยู ไอก็อกสั่นขวัญแขวน ฉี่แทบราดแล้ว...
...ฮุ้ย! ผู้หญิงบ้านยูนี่ เป็นลูกหลานยักษ์มาร หรือ มิสเตอร์ ซีอุย มาเกิดหรือไงกันน่ะ!?”
ดุบรรลัยเลย!
ถ้าจะให้ผมให้เรทติ้งภาพยนตร์โฆษณาชุดนี้ เลียนตามตำแหน่งที่นั่งของผู้โดยสารเครื่องบิน ว่าควรจะให้นั่งที่ใด หรือสมควรจะให้อยู่ในชั้นไหน First Class, Business Class, หรือ Economy Class ?
ผมก็ต้องขอตอบ อย่างไม่ต้องลังเลเลยว่า
เห็นโฆษณาอย่างนี้ไม่ต้องให้นั่ง First Class, Business Class, หรือ Economy Class แล้ว เพราะไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง
แต่โฆษณาหัวคิดแปลกประหลาดอย่างนี้ ผมจะต้องกำหนดชั้นใหม่ให้นั่งคือ
ต้องเอาไปนั่งชั้น Low Class เขียนเป็นภาษาไทยได้ว่า
“โลว์ คลาส !”
โน่น...ไปไกลๆ เลย...เอาไปให้พ้นหูพ้นตาเชียว !!
ผมว่าโฆษณาของการบินไทยชุดนี้ “ห่วยแตก” และ “ไร้รสนิยม” เป็นที่สุดแล้ว แต่ดันมีโฆษณาอีกชิ้นหนึ่ง ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐอีกเหมือนกัน ซึ่งนอกจากจะ “ห่วยแตก” และ “ไร้รสนิยม” แล้ว ยัง...
น่ารังเกียจและน่าขยะแขยง เป็นอย่างยิ่งอีกด้วย!
โฆษณาชิ้นดังกล่าวนี้ เป็นของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
สสส. นั้นเป็นหน่วยงานของรัฐ ที่มิใช่ส่วนราชการ อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของนายกรัฐมนตรี จัดตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ พ.ศ.2548
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มีหน้าที่ผลักดัน กระตุ้น สนับสนุน และร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ในสังคม ในการขับเคลื่อนกระบวนการสร้างเสริมสุขภาพ ซึ่งผมเห็นว่าเป็นของดีต่อสังคมมาก เพราะองค์กรนี้เขาวางเป้าหมาย ในการลดอัตราการเจ็บป่วย และเสียชีวิตก่อนวัยอันควร กระตุ้นให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ความเชื่อ และการปรับภาพแวดล้อม ให้เอื้อต่อคุณภาพชีวิต ช่วยลดภาระทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
พูดง่ายๆก็คือ อะไรที่เป็นพิษเป็นภัย ต่อสุขภาพพลานามัยแล้ว สสส.ก็จะช่วยชี้ให้เห็นโทษภัย วางแนวทางการต่อสู้เพื่อให้สุขภาพของชนในชาติดีขึ้น ผู้คนมีชีวิตที่ยืนยาวออกไป
สาเหตุการเสียชีวิต ของคนไทยส่วนใหญ่นั้น ก็สืบเนื่องมาจาก ปัญหาด้านพฤติกรรม เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มสุรา อุบัติเหตุ การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่เหมาะสม ฯลฯ และตัวเลขทาง สสส.เขาระบุมานั้น โดยคนไทยต้องใช้จ่ายเป็นค่ารักษาพยาบาลถึงปีละกว่า 2 แสนล้านบาท
สถิติดังกล่าวนี้เอง เขาเห็นว่าล้วนมาแต่โรคที่ ที่สามารถป้องกันเกือบทั้งสิ้น เขาจึงวางยุทธศาสตร์การสร้างเสริมสุขภาพ มุ่งเน้นไปที่การวางน้ำหนักด้านการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม วิถีชีวิตและสภาพแวดล้อม เช่น เลือกบริโภคอาหารที่มีประโยชน์ งดสุราและบุหรี่ สัญจรอย่างปลอดภัย อยู่อาศัยในสภาพแวดล้อมที่ดี ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ป้องกันโรคขณะมีเพศสัมพันธ์ เพราะดอกเอดส์เบ่งบานไปทั่วประเทศ ตรงนี้สำคัญมาก อย่างนี้เป็นต้น
สสส. รับเงินอุดหนุนจากรัฐ และมีการพิจารณานำเอาภาษีสรรพสามิต หรือที่เรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า “ภาษีบาป” ประเภทเหล้า บุหรี่ ของบั่นทอนสุขภาพทั้งหลาย มาสนับสนุนกิจกรรมของ สสส.
ผมเห็นด้วยทุกประการ เพราะโดยส่วนตัวแล้วเชื่อในระบบป้องกัน ว่าดีกว่าการรักษาพยาบาล ซึ่งจะเป็นการลดความเสียหายทางเศรษฐกิจ ทั้งส่วนตัวและที่เป็นของรัฐลง
ที่ผมต้องออกมาตำหนิ การดำเนินการของ สสส.ในครั้งนั้น ก็เพราะเรื่องการโฆษณาขององค์กรนี้ ที่เผยแพร่ออกไปทางวิทยุ สู่ประชาชนท่าวประเทศ
บทโฆษณา เป็นเรื่องของการรณรงค์ต่อต้านการเสพสุรา เขาวางบทไว้ทำนองนี้ คือ
เป็น คำพูดของผู้ชาย ที่เข้าใจว่าเป็นอาชญากร ที่ต้องโทษอยู่ออกมาสารภาพว่า เขาก่อกรรมทำเข็ญ โดยก่ออาชญากรรมร้ายแรง โดยบรรยายการกระทำความผิดของเขาเป็นคำพูดชัดเจน ดังนี้ คือ
“ผมอุดปากเธอ”
“ผมชกท้องเธอ”
“ผมข่มขืนเธอ” (แสดงโดยนัย)
“ผมถ่ายรูปเธอ”
สรุปลงท้ายก็ คือ “ผมกระทำผิด...เพราะดื่มเหล้า !” .....แค่นั้นจริงๆ
โฆษณาชิ้นนี้ ผมได้ฟังด้วยตนเองหลายครั้ง และได้รับเสียงบ่นจากผู้ปกครองเด็กสามสี่ราย รวมทั้งได้พูดคุยกับนายตำรวจผู้ใหญ่ ซึ่งพูดตรงกันหมดว่า
“นี่เป็นการนำแผนประทุษกรรม ของผู้ร้ายทางเพศ มาตีแผ่ทางวิทยุ!”
ที่เลวร้ายอย่างยิ่ง ก็คือ
มันแพร่ไปยังหมู่เยาวชน ที่กำลังเดินทางไปโรงเรียนหรือสถานศึกษา เพราะออกในช่วงเวลาเหมาะเจาะพอดีคือหลังข่าว!
โฆษณานี้อาจทำให้พวกเยาวชนมีจินตนาการไกลไปถึงเรื่องเพศสัมพันธ์ ที่ไม่ใช่เซ็กส์ตามปกติมนุษย์ธรรมดาพึงมี แต่เป็นเรื่องการประพฤติที่วิปริตผิดสามัญ ตามติดด้วยอาชญากรรมและความรุนแรง ซึ่งเป็นความชั่วร้าย เป็นเสนียดจัญไร เรียกว่าเป็นความกาลีโดยแท้
น่ากลัวมาก ไม่คิดเลยว่าจะมี โฆษณากาลี อย่างนี้ในบ้านในเมืองของเรา และร้ายที่สุดเป็นหน่วยงานของรัฐเสียอีก
ช่างไร้ความคิด…เสียเหลือเกิน!!
การสอบสวนคดีทางเพศนั้น ตำรวจเขาสอนกันอย่างเป็นทางวิชาการจริงๆ ไม่เผยแพร่ออกมาให้ผู้คนภายนอกรู้ นอกจากผู้มีหน้าที่ เพราะมันไม่เหมาะด้วยประการทั้งปวง
เด็กๆไม่ควรทราบพฤติกรรมของคนร้าย จนถึงขั้นรายละเอียด ด้วยการบอกลำดับขั้นตอน เริ่มตั้งแต่การอุดปากเหยื่อไม่ให้ร้อง ชกเข้าที่ท้อง บอกถึงการทำร้ายร่างกายในจุดอ่อนของผู้หญิง ที่มีอวัยวะภายในไม่เหมือนชาย จากนั้นก็ยังข่มขืนหลังทำร้าย และร้ายที่สุด
ถ่ายรูป...เอาไว้แบล๊คเมล์อีก !
ระยำ…สุดขีด!!
ผมไม่รู้ว่า สติของทั้งคนคิดโฆษณา และผู้บริหารของ สสส.ยังดีกันหรือเปล่า? ที่ปล่อยให้โฆษณาอัปรีย์ อย่างนี้อออกมาสู่เยาวชน ที่กำลังอยากรู้อยากลองได้อย่างไร !!!
หลังจากที่ผมเขียนบทความ ถล่มงานโฆษณาทั้ง 2 ชิ้น ในผู้จัดการออนไลน์เพียงไม่กี่วันเท่านั้น...
โฆษณากาลีทั้งสองชิ้น ก็หายวับไปจากทั้งสื่อโทรทัศน์และวิทยุ!
มาถึง พ.ศ. 2554 ได้มีโฆษณากาลีได้เกิดขึ้นอีก คราวนี้เกิดขึ้นบนรถไฟฟ้า อย่าง BTS อย่างที่เล่าให้ฟังตั้งแต่เริ่มต้น
ผมดูแล้วไม่เชื่อสายตา เพราะการนำเรื่องเชื้อชาติมาเล่นสนุก เป็นประเด็นที่อ่อนไหวมาก
content/picdata/282/data/dog.jpg
ความจริงเรื่องแบบนี้ ได้จางหายไปจากโลกครึ่งศตวรรษแล้ว เช่น สมัยอังกฤษปกครองฮ่องกง ก็สงวนสวนสาธารณะไว้ให้พวกตน โดยมีประกาศ
No Chinese Or Dogs Allowed.
หรือ “ห้ามคนจีนหรือหมาเข้าสวน” ซึ่งเป็นเรื่องที่คนจีนจดจำ และฝังใจโกรธแค้นมาจนถึงทุกวันนี้
การที่สงวนสิทธิเอาไว้สำหรับคนขาว ในสหรัฐอเมริกานั้น คนผิวสีต้องเจ็บช้ำน้ำใจกับการกีดกันมานานนับศตวรรษ เพราะมีสถานที่ซึ่งเป็นสาธารณะหลายแห่ง เช่นโรงแรม ร้านอาหาร ร้านเหล้าฯลฯ มีป้ายสงวนสิทธิสำหรับคนผิวขาวว่า
White Only
นอกจากนั้น บริการสาธารณะบางอย่างก็กีดกัน เช่นรถประจำทาง คนดำจะต้องไปนั่งข้างหลัง พวกคนขาวจะได้รับสิทธิในการนั่งด้านหน้า และหากรถมีการนั่งเต็มหมดแล้ว คนดำก็จะต้องลุกให้คนขาวนั่ง จนเกิดปรากฏการณ์มหัศจรรย์ คือ
เย็นวันหนึ่งเป็นวันที่ 1 ธันวาคม 2498 ที่ Montgomery, Alabama, สหรัฐอเมริกา ผู้หญิงช่างเย็บเสื้อผิวสีคนหนึ่งชื่อ Rosa Parks ที่ผู้หญิงผิวดำคนหนึ่งไม่ยอมลุก จนโดนจับ และเหตุการณ์ลุกลาม จนกลายเป็นประวัติศาสตร์ของสหรัฐ ที่ต้องแก้ไขกฎหมาย เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกัน ระหว่างคนผิวขาวและผิวสี (หากมีโอกาสจะเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังอีก)
หากข่าวสารเรื่อง “โฆษณากาลี” บนรถไฟฟ้า BTS นี้ ถูกเผยแพร่ออกไปยังสหรัฐ หรือประเทศที่เคยมีปัญหาเรื่องการเหยียดผิวมาก่อน ผมรับรองได้เลยว่า
ประเทศไทยจะเป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์ และถูกต่อต้านอย่างหนัก จากผู้คนในชาติเหล่านั้น!
น่าสงสารบ้านเมืองของเราจริงๆ ที่มาถึงวันนี้ ประเทศไทยซึ่งเคยขึ้นชื่อว่า เป็นดินแดนแห่งอิสรเสรี แต่ภาพลักษณ์ได้เสียหายไป เพราะการสังหารหมู่ประชาชน อย่างทมิฬหินชาติ โดยฝีมือทหารไทยและรัฐบาล จนข่าวสาร แพร่หลายไปทั่วโลกแล้ว...
...มาถึง พ.ศ.นี้ ยังดันมี “โฆษณา-กาลี...อัปรีย์สุดๆ” เกิดขึ้นมาบนแผ่นดินไทย กระทืบซ้ำภาพลักษณ์แห่งความเสียหาย ให้กับบ้านนี้เมืองนี้...
...จนโทรมทรุด หนักยิ่งขึ้นไปอีก
โฆษณาที่ปรากฏบนรถไฟฟ้า BTS ชิ้นนี้ เหมือนจะแข่งความระยำกับ “รัฐบาล-กาลี...อัปรีย์สุดๆ” !!
ท่านผู้อ่าน ลองคิดกันเล่นๆหน่อยเถอะครับ ว่า
อันไหนจะ ‘ระยำ’ มากกว่ากัน!!!?
..................
หมายเหตุ เราควรแสดงความจริงใจว่า คนไทยไม่เห็นด้วยกับโฆษณากาลี ที่สื่อสัญลักษณ์ของการเหยียดผิว ด้วยการต่อต้าน ไม่ซื้อสินค้าต้นเหตุ ที่สร้างความขัดแย้งในครั้งนี้ รวมทั้งสินค้าอื่นของบริษัทผู้ผลิตด้วย
ชาวไทยเราสามารถกระทำได้ ด้วยการเผยแพร่
คำขวัญของการต่อต้าน คือ
“เซย์ ‘No’ ทู...อะมิโนพลัส!!!”
“เซย์ ‘No’ ทู...โออิชิ!!!”
(บทความประจำสัปดาห์ ตอน โฆษณา-กาลี...อัปรีย์สุดขีด!!! ออนไลน์วันเสาร์ ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2554)
วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
เมื่อ ต้นสัปดาห์นี้ เว็บไซด์ต่างๆ รวมถึงสื่อมวลชนอื่นๆ ได้พากันวิพากษ์วิจารณ์โฆษณาชิ้นหนึ่ง ซึ่งได้สร้างความขัดเคืองให้กับประชาชนผู้พบเห็นเป็นอย่างยิ่ง นั่นคือ
content/picdata/282/data/seat.jpg
โฆษณาชื่อ ‘อะมิโนพลัส’ ของบริษัทน้ำดื่มค่ายโออิชิ ที่ทะลึ่งไปติดป้ายบนรถไฟฟ้า BTS ว่า
"สำรองที่นั่งสำหรับ...คนขาว"
ข้อความดังกล่าวนำมาซึ่งอาการ “เม้าท์แตก” เกิดขึ้นในแวดวงต่างๆ มีวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง รวมทั้งมีการชักชวนกันไม่ให้ซื้อสินค้าดังกล่าว ซึ่งท่านผู้อ่านที่ยังไม่เคยเห็น สามารถหาดูได้จากเว็บพันทิพและอื่นๆ
ผมเองเคยเขียนวิพากษ์วิจารณ์งานโฆษณา ตั้งแต่ยังอยู่ค่าย “ผู้จัดการ” (manager.co.th) บาง ชิ้นที่ผมเห็นว่ามันไม่เข้าท่าหรือ “ห่วยแตก” ทำลายความรู้สึกของผู้คน และที่แย่ยิ่งไปกว่านั้น โฆษณาบางชิ้น ก็ยังดันเป็นงานของหน่วยงานราชการด้วยซ้ำไป
เหตุที่ต้องวิจารณ์หนักหน่วง แบบต้อง “ทุบกันให้แหลก” เพราะหากปล่อยไว้จะเป็นผลเสียหาย ไม่ว่าจะเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นกับสังคม หรือกับเยาวชน ลูกหลานของคนในชาติของเรา
จะละไว้หรือมองข้าม...ไม่ได้เด็ดขาด!
อยากจะยกมารื้อฟื้นความทรงจำ ให้กับท่านผู้อ่าน ชิ้นแรกคือโฆษณาของ “บริษัทการบินไทยจำกัด (มหาชน)” เกี่ยวกับการกระตุ้นเชิญชวนประชาชน “ซื้อหุ้น” ของบริษัท ซึ่งออกฉายเมื่อปี พ.ศ.2548
ภาพ โฆษณาฉายให้เห็น หญิงชายคู่หนึ่งนั่งติดกันในสนามบิน ผู้จะโดยสารเครื่องบินคนอื่นๆ นั่งกันเต็มห้องพักผู้โดยสาร มีเสียงเรียกพาสเซ็นเจอร์ออนบอร์ด หรือผู้โดยสารขึ้นเครื่อง ดังกังวานขึ้น
ผู้โดยสารอื่นเขาลุกขึ้นเดินไปประตูทางออก จะไปขึ้นเครื่อง ที่ห้องพักผู้โดยสารคงเหลือหนุ่มสาวคู่นี้นั่งเฉยอยู่
ฝ่ายหญิงหันคอเอี้ยวหน้ามาทางฝ่ายชาย เอ่ยถามขึ้นว่า
“จองตั๋วหรือยัง?”
ฝ่ายชายทำไม่รู้ร้อนรู้หนาว ตอบว่า
“ยัง”
ภาพแช่นิ่งนิดหนึ่ง ฝ่ายหญิงหันกลับมาถามอีก ว่า
“จองหุ้นการบินไทยหรือยัง?”
ฝ่ายชาย ตอบทื่อมะลื่อว่า
“ยัง”
ต่อไปนี้สำคัญคือ...
พอฝ่ายชายตอบจบ ภาพตัดวูบ มืดไปสองวิฯ ระหว่างความมืดมีเสียงดัง
‘เพียะ!’
(คล้ายเสียงฝ่ามือกระทบหน้า ของกริยาคือการ ‘ตบ’ )
สว่างขึ้นอีกครั้ง ก็ปรากฏภาพ...
ฝ่ายผู้ชายมีรอยนิ้วมือเป็นปื้นที่หน้า ห้านิ้วครบ แต่ยังดันนั่งทำหน้าโง่ ตาปะหลับปะเหลือก มือลูบคลำแก้ม ฝ่ายหญิงนั่งทำหน้าตูบ แล้วเมินไปอีกทางหนึ่ง!!
(มีเสียงประกาศ เชิญชวนให้จองหุ้นการบินไทยติดตามมา)
ผมไม่เข้าใจเลยว่า...ทำไมถึงมีการนำเสนอกันอย่างนี้!!!?
ดูภาพยนตร์โฆษณาชุดนี้แล้ว ต้องปลงอนิจจัง บอกกับเพื่อนที่นั่งดูด้วยว่า ประหลาดใจ ไม่รู้ว่าเขาคิดโฆษณาอย่างนี้ได้อย่างไร หัวคิดดีจริงๆ
เพราะเขาทำให้ฝ่ายชายนั้นดู “โง่” ได้มากที่สุดในโลก
หนอยแน่!...ดันอุตส่าห์พาเมียมาถึงสนามบิน จะขึ้นเครื่อง แต่...ตั๋วก็ยังไม่ได้ซื้อ!!
ฝ่ายหญิงผู้เป็นภริยา กริยามารยาทก็ช่างทรามเหลือกำลังรับ กำลังลาก เพราะแค่ผัวหรือแฟนตัวเอง ไม่ได้จองหุ้นการบินไทย ก็ลงมือตบตีทำร้ายผัวกลางสนามบิน ซึ่งเป็นที่สาธารณะเข้าให้แล้ว
ผมไม่รู้ว่าเขา จะสื่ออะไรกันกับท่านผู้ชม ? แต่หากให้ฝรั่งดู เขาคงบอกว่า
ผู้ชายไทยบ้านยูโง่บัดซบดีจังเลย ไอเกิดจากท้องพ่อท้องแม่ไม่เคยเห็นคนอะไรมันถึงโง่ได้เด็ดขาดอะไรอย่างนี้วะ!
และคงวิจารณ์ว่าผู้หญิงไทยนั้น โหดเหี้ยมและใจร้ายมาก คงจะมีนิสัยคล้ายฆาตกรหรือคนร้ายที่นิยมแต่ความรุนแรง และฝรั่งคงจะพูดต่อว่า
“...ถ้าจะให้ไอเอาผู้หญิงไทยมาเป็นเมีย คงต้องตอบว่า
โน! โน ! ไอกลัวว่ะ เพราะแค่ดูโฆษณาของสายการบินระดับชาติของยู ไอก็อกสั่นขวัญแขวน ฉี่แทบราดแล้ว...
...ฮุ้ย! ผู้หญิงบ้านยูนี่ เป็นลูกหลานยักษ์มาร หรือ มิสเตอร์ ซีอุย มาเกิดหรือไงกันน่ะ!?”
ดุบรรลัยเลย!
ถ้าจะให้ผมให้เรทติ้งภาพยนตร์โฆษณาชุดนี้ เลียนตามตำแหน่งที่นั่งของผู้โดยสารเครื่องบิน ว่าควรจะให้นั่งที่ใด หรือสมควรจะให้อยู่ในชั้นไหน First Class, Business Class, หรือ Economy Class ?
ผมก็ต้องขอตอบ อย่างไม่ต้องลังเลเลยว่า
เห็นโฆษณาอย่างนี้ไม่ต้องให้นั่ง First Class, Business Class, หรือ Economy Class แล้ว เพราะไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง
แต่โฆษณาหัวคิดแปลกประหลาดอย่างนี้ ผมจะต้องกำหนดชั้นใหม่ให้นั่งคือ
ต้องเอาไปนั่งชั้น Low Class เขียนเป็นภาษาไทยได้ว่า
“โลว์ คลาส !”
โน่น...ไปไกลๆ เลย...เอาไปให้พ้นหูพ้นตาเชียว !!
ผมว่าโฆษณาของการบินไทยชุดนี้ “ห่วยแตก” และ “ไร้รสนิยม” เป็นที่สุดแล้ว แต่ดันมีโฆษณาอีกชิ้นหนึ่ง ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐอีกเหมือนกัน ซึ่งนอกจากจะ “ห่วยแตก” และ “ไร้รสนิยม” แล้ว ยัง...
น่ารังเกียจและน่าขยะแขยง เป็นอย่างยิ่งอีกด้วย!
โฆษณาชิ้นดังกล่าวนี้ เป็นของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
สสส. นั้นเป็นหน่วยงานของรัฐ ที่มิใช่ส่วนราชการ อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของนายกรัฐมนตรี จัดตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ พ.ศ.2548
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มีหน้าที่ผลักดัน กระตุ้น สนับสนุน และร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ในสังคม ในการขับเคลื่อนกระบวนการสร้างเสริมสุขภาพ ซึ่งผมเห็นว่าเป็นของดีต่อสังคมมาก เพราะองค์กรนี้เขาวางเป้าหมาย ในการลดอัตราการเจ็บป่วย และเสียชีวิตก่อนวัยอันควร กระตุ้นให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ความเชื่อ และการปรับภาพแวดล้อม ให้เอื้อต่อคุณภาพชีวิต ช่วยลดภาระทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
พูดง่ายๆก็คือ อะไรที่เป็นพิษเป็นภัย ต่อสุขภาพพลานามัยแล้ว สสส.ก็จะช่วยชี้ให้เห็นโทษภัย วางแนวทางการต่อสู้เพื่อให้สุขภาพของชนในชาติดีขึ้น ผู้คนมีชีวิตที่ยืนยาวออกไป
สาเหตุการเสียชีวิต ของคนไทยส่วนใหญ่นั้น ก็สืบเนื่องมาจาก ปัญหาด้านพฤติกรรม เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มสุรา อุบัติเหตุ การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่เหมาะสม ฯลฯ และตัวเลขทาง สสส.เขาระบุมานั้น โดยคนไทยต้องใช้จ่ายเป็นค่ารักษาพยาบาลถึงปีละกว่า 2 แสนล้านบาท
สถิติดังกล่าวนี้เอง เขาเห็นว่าล้วนมาแต่โรคที่ ที่สามารถป้องกันเกือบทั้งสิ้น เขาจึงวางยุทธศาสตร์การสร้างเสริมสุขภาพ มุ่งเน้นไปที่การวางน้ำหนักด้านการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม วิถีชีวิตและสภาพแวดล้อม เช่น เลือกบริโภคอาหารที่มีประโยชน์ งดสุราและบุหรี่ สัญจรอย่างปลอดภัย อยู่อาศัยในสภาพแวดล้อมที่ดี ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ป้องกันโรคขณะมีเพศสัมพันธ์ เพราะดอกเอดส์เบ่งบานไปทั่วประเทศ ตรงนี้สำคัญมาก อย่างนี้เป็นต้น
สสส. รับเงินอุดหนุนจากรัฐ และมีการพิจารณานำเอาภาษีสรรพสามิต หรือที่เรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า “ภาษีบาป” ประเภทเหล้า บุหรี่ ของบั่นทอนสุขภาพทั้งหลาย มาสนับสนุนกิจกรรมของ สสส.
ผมเห็นด้วยทุกประการ เพราะโดยส่วนตัวแล้วเชื่อในระบบป้องกัน ว่าดีกว่าการรักษาพยาบาล ซึ่งจะเป็นการลดความเสียหายทางเศรษฐกิจ ทั้งส่วนตัวและที่เป็นของรัฐลง
ที่ผมต้องออกมาตำหนิ การดำเนินการของ สสส.ในครั้งนั้น ก็เพราะเรื่องการโฆษณาขององค์กรนี้ ที่เผยแพร่ออกไปทางวิทยุ สู่ประชาชนท่าวประเทศ
บทโฆษณา เป็นเรื่องของการรณรงค์ต่อต้านการเสพสุรา เขาวางบทไว้ทำนองนี้ คือ
เป็น คำพูดของผู้ชาย ที่เข้าใจว่าเป็นอาชญากร ที่ต้องโทษอยู่ออกมาสารภาพว่า เขาก่อกรรมทำเข็ญ โดยก่ออาชญากรรมร้ายแรง โดยบรรยายการกระทำความผิดของเขาเป็นคำพูดชัดเจน ดังนี้ คือ
“ผมอุดปากเธอ”
“ผมชกท้องเธอ”
“ผมข่มขืนเธอ” (แสดงโดยนัย)
“ผมถ่ายรูปเธอ”
สรุปลงท้ายก็ คือ “ผมกระทำผิด...เพราะดื่มเหล้า !” .....แค่นั้นจริงๆ
โฆษณาชิ้นนี้ ผมได้ฟังด้วยตนเองหลายครั้ง และได้รับเสียงบ่นจากผู้ปกครองเด็กสามสี่ราย รวมทั้งได้พูดคุยกับนายตำรวจผู้ใหญ่ ซึ่งพูดตรงกันหมดว่า
“นี่เป็นการนำแผนประทุษกรรม ของผู้ร้ายทางเพศ มาตีแผ่ทางวิทยุ!”
ที่เลวร้ายอย่างยิ่ง ก็คือ
มันแพร่ไปยังหมู่เยาวชน ที่กำลังเดินทางไปโรงเรียนหรือสถานศึกษา เพราะออกในช่วงเวลาเหมาะเจาะพอดีคือหลังข่าว!
โฆษณานี้อาจทำให้พวกเยาวชนมีจินตนาการไกลไปถึงเรื่องเพศสัมพันธ์ ที่ไม่ใช่เซ็กส์ตามปกติมนุษย์ธรรมดาพึงมี แต่เป็นเรื่องการประพฤติที่วิปริตผิดสามัญ ตามติดด้วยอาชญากรรมและความรุนแรง ซึ่งเป็นความชั่วร้าย เป็นเสนียดจัญไร เรียกว่าเป็นความกาลีโดยแท้
น่ากลัวมาก ไม่คิดเลยว่าจะมี โฆษณากาลี อย่างนี้ในบ้านในเมืองของเรา และร้ายที่สุดเป็นหน่วยงานของรัฐเสียอีก
ช่างไร้ความคิด…เสียเหลือเกิน!!
การสอบสวนคดีทางเพศนั้น ตำรวจเขาสอนกันอย่างเป็นทางวิชาการจริงๆ ไม่เผยแพร่ออกมาให้ผู้คนภายนอกรู้ นอกจากผู้มีหน้าที่ เพราะมันไม่เหมาะด้วยประการทั้งปวง
เด็กๆไม่ควรทราบพฤติกรรมของคนร้าย จนถึงขั้นรายละเอียด ด้วยการบอกลำดับขั้นตอน เริ่มตั้งแต่การอุดปากเหยื่อไม่ให้ร้อง ชกเข้าที่ท้อง บอกถึงการทำร้ายร่างกายในจุดอ่อนของผู้หญิง ที่มีอวัยวะภายในไม่เหมือนชาย จากนั้นก็ยังข่มขืนหลังทำร้าย และร้ายที่สุด
ถ่ายรูป...เอาไว้แบล๊คเมล์อีก !
ระยำ…สุดขีด!!
ผมไม่รู้ว่า สติของทั้งคนคิดโฆษณา และผู้บริหารของ สสส.ยังดีกันหรือเปล่า? ที่ปล่อยให้โฆษณาอัปรีย์ อย่างนี้อออกมาสู่เยาวชน ที่กำลังอยากรู้อยากลองได้อย่างไร !!!
หลังจากที่ผมเขียนบทความ ถล่มงานโฆษณาทั้ง 2 ชิ้น ในผู้จัดการออนไลน์เพียงไม่กี่วันเท่านั้น...
โฆษณากาลีทั้งสองชิ้น ก็หายวับไปจากทั้งสื่อโทรทัศน์และวิทยุ!
มาถึง พ.ศ. 2554 ได้มีโฆษณากาลีได้เกิดขึ้นอีก คราวนี้เกิดขึ้นบนรถไฟฟ้า อย่าง BTS อย่างที่เล่าให้ฟังตั้งแต่เริ่มต้น
ผมดูแล้วไม่เชื่อสายตา เพราะการนำเรื่องเชื้อชาติมาเล่นสนุก เป็นประเด็นที่อ่อนไหวมาก
content/picdata/282/data/dog.jpg
ความจริงเรื่องแบบนี้ ได้จางหายไปจากโลกครึ่งศตวรรษแล้ว เช่น สมัยอังกฤษปกครองฮ่องกง ก็สงวนสวนสาธารณะไว้ให้พวกตน โดยมีประกาศ
No Chinese Or Dogs Allowed.
หรือ “ห้ามคนจีนหรือหมาเข้าสวน” ซึ่งเป็นเรื่องที่คนจีนจดจำ และฝังใจโกรธแค้นมาจนถึงทุกวันนี้
การที่สงวนสิทธิเอาไว้สำหรับคนขาว ในสหรัฐอเมริกานั้น คนผิวสีต้องเจ็บช้ำน้ำใจกับการกีดกันมานานนับศตวรรษ เพราะมีสถานที่ซึ่งเป็นสาธารณะหลายแห่ง เช่นโรงแรม ร้านอาหาร ร้านเหล้าฯลฯ มีป้ายสงวนสิทธิสำหรับคนผิวขาวว่า
White Only
นอกจากนั้น บริการสาธารณะบางอย่างก็กีดกัน เช่นรถประจำทาง คนดำจะต้องไปนั่งข้างหลัง พวกคนขาวจะได้รับสิทธิในการนั่งด้านหน้า และหากรถมีการนั่งเต็มหมดแล้ว คนดำก็จะต้องลุกให้คนขาวนั่ง จนเกิดปรากฏการณ์มหัศจรรย์ คือ
เย็นวันหนึ่งเป็นวันที่ 1 ธันวาคม 2498 ที่ Montgomery, Alabama, สหรัฐอเมริกา ผู้หญิงช่างเย็บเสื้อผิวสีคนหนึ่งชื่อ Rosa Parks ที่ผู้หญิงผิวดำคนหนึ่งไม่ยอมลุก จนโดนจับ และเหตุการณ์ลุกลาม จนกลายเป็นประวัติศาสตร์ของสหรัฐ ที่ต้องแก้ไขกฎหมาย เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกัน ระหว่างคนผิวขาวและผิวสี (หากมีโอกาสจะเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังอีก)
หากข่าวสารเรื่อง “โฆษณากาลี” บนรถไฟฟ้า BTS นี้ ถูกเผยแพร่ออกไปยังสหรัฐ หรือประเทศที่เคยมีปัญหาเรื่องการเหยียดผิวมาก่อน ผมรับรองได้เลยว่า
ประเทศไทยจะเป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์ และถูกต่อต้านอย่างหนัก จากผู้คนในชาติเหล่านั้น!
น่าสงสารบ้านเมืองของเราจริงๆ ที่มาถึงวันนี้ ประเทศไทยซึ่งเคยขึ้นชื่อว่า เป็นดินแดนแห่งอิสรเสรี แต่ภาพลักษณ์ได้เสียหายไป เพราะการสังหารหมู่ประชาชน อย่างทมิฬหินชาติ โดยฝีมือทหารไทยและรัฐบาล จนข่าวสาร แพร่หลายไปทั่วโลกแล้ว...
...มาถึง พ.ศ.นี้ ยังดันมี “โฆษณา-กาลี...อัปรีย์สุดๆ” เกิดขึ้นมาบนแผ่นดินไทย กระทืบซ้ำภาพลักษณ์แห่งความเสียหาย ให้กับบ้านนี้เมืองนี้...
...จนโทรมทรุด หนักยิ่งขึ้นไปอีก
โฆษณาที่ปรากฏบนรถไฟฟ้า BTS ชิ้นนี้ เหมือนจะแข่งความระยำกับ “รัฐบาล-กาลี...อัปรีย์สุดๆ” !!
ท่านผู้อ่าน ลองคิดกันเล่นๆหน่อยเถอะครับ ว่า
อันไหนจะ ‘ระยำ’ มากกว่ากัน!!!?
..................
หมายเหตุ เราควรแสดงความจริงใจว่า คนไทยไม่เห็นด้วยกับโฆษณากาลี ที่สื่อสัญลักษณ์ของการเหยียดผิว ด้วยการต่อต้าน ไม่ซื้อสินค้าต้นเหตุ ที่สร้างความขัดแย้งในครั้งนี้ รวมทั้งสินค้าอื่นของบริษัทผู้ผลิตด้วย
ชาวไทยเราสามารถกระทำได้ ด้วยการเผยแพร่
คำขวัญของการต่อต้าน คือ
“เซย์ ‘No’ ทู...อะมิโนพลัส!!!”
“เซย์ ‘No’ ทู...โออิชิ!!!”
(บทความประจำสัปดาห์ ตอน โฆษณา-กาลี...อัปรีย์สุดขีด!!! ออนไลน์วันเสาร์ ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2554)
lucky m.- Hero gen.seh member
- จำนวนข้อความ : 2803
Join date : 12/06/2010
Re: Hijack ประเทศไทย!!!วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
สำหรับเรื่อง Hijack หรือจี้เอาตัวประกัน นั้น
ผมเพิ่งได้ยินการปราศรัยที่เวทีมัฆวานเมื่อไม่กี่วันมานี้ โจมตีอาจารย์คนหนึ่งแห่งมหาวิทยาลัย
‘ดิงดองเที่ยงคืน’ ซึ่งโดนกล่าวหาว่า
เขา Hijack เมีย...เพื่อนอาจารย์ ด้วยกัน!
ความจริงไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะที่โด่งดังมากกว่านั้นก็มี เช่น นักการเมือง
Hijack เมีย...สมาชิกร่วมพรรคการเมือง เดียวกัน!!
การ Hijack เมียเพื่อน ก็ผิดศีลข้อ 3 แต่ที่ร้ายไปกว่านั้น คือ
ในปี พ.ศ.2549 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่ Natascha Kampusch (นาตาชา คัมปูช)
โดนลักตัวไปล่วงละเมิดทางเพศนั้น การปกครองระบอบประชาธิปไตย ของปวงชนชาวไทย
ถูก “ไอ้บังกบฏ” กับพวกทหาร Hijack ไป!
ที่ร้ายที่สุด คือ แม้บ้านเมืองจะมีการปกครองแบบประชาธิปไตยแล้ว
แต่ฝ่ายทหารเสือกเข้าไปสอดแทรก
โดยเข้าไปวุ่นวาย จัดการยกเอาพรรคการเมืองโลซก
(ที่สมาชิก Hijack เมียเพื่อนร่วมพรรคเดียวกัน จนโด่งดัง!)
แถมพรรคนี้ยังพ่ายแพ้การเลือกตั้งมาแล้วอีกด้วย
แต่ทหารยังเสือกดันให้มาเป็นแกนนำรัฐบาล โดยการอุ้มชูของพวกตน...
...ดูพวกมันทำ!!
ดังนั้น ผลพวงจากการยึดอำนาจของ “ไอ้บังกบฏ”
ทำให้ประชาชนเกือบทั้งประเทศไม่พอใจ
ส่งให้สถาบันต่างๆในประเทศ ทหาร ศาล อัยการ ตำรวจ ข้าราชการอื่นๆ
ตกต่ำย่อยยับ อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ของชาติเรา
เพราะเกือบทุกสถาบัน โดนถูกกล่าวหาว่า
โอนเอียงเข้าข้าง ฝ่ายที่พวกตนสนับสนุน!
ที่น่าอนาถที่สุด คือ
เมื่อเดือน เม.ย.ปีที่แล้ว ทหารเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมือง
แบบ ‘สุดลิ่มทิ่มประตู’ โดยรับบัญชาฝ่ายการเมืองอย่างขมีขมัน
ด้วยการจัดกำลังยานเกราะ พร้อมอาวุธเต็มอัตราศึก โดยอ้างเหตุผลว่า
จะเข้าผลักดันพี่น้องเพื่อนร่วมชาติของพวกตน
ที่ชุมนุมกันบนถนนราชดำเนิน
โดยฝ่ายทหารเปิดฉากการเข่นฆ่าประชาชน ด้วยกำลังส่วนล่วงหน้า
ที่เป็นหน่วยลอบยิง จนผู้คนตายเกลื่อนถนนหลายสิบศพ บาดเจ็บเป็นจำนวนมาก
โหดร้ายทารุณ เหลือกำลัง!
เดชะบุญ!! ...
ก่อนทหารจะเคลื่อนพล เข้าปราบปรามประชาชนขึ้นเพื่อกวาดล้างเบ็ดเสร็จ
แบบเดียวกันกับเหตุการณ์ที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน นั้น
หน่วยทหารที่กำลังกระเหี้ยนกระหือรือ
กลับก็โดน “กองกำลังไม่ทราบฝ่าย” (เพราะจนบัดนี้ ยังไม่รู้ว่าเป็นใคร)
ปฏิบัติการตีโต้ตอบ ยับยั้งการฆ่าหมู่แทนประชาชน เพื่อช่วยเหลือชาวบ้าน
ที่มีเพียงมือเปล่าๆ จนทหารแตกพ่าย ต้องหนีกระเซอะกระเซิงกลับไป แบบน่าสมเพช
เคราะห์ดีที่กองกำลังไม่ทราบฝ่าย
ไม่ตามตีต่อในลักษณะการไล่ติดตามกวาดล้างให้สิ้นซาก
จึงไม่เสียหายไปกว่านั้น
แต่ถึงกระนั้น ทหารบางนายถึงกับตายกลางเมือง
นายทหารตัวกลั่นไปตายที่โรงพยาบาลก็มี
และที่บาดเจ็บสาหัสไปสองสามร้อยคน รวมทั้งผู้นำหน่วยด้วย
ขายขี้หน้าไปทั่วโลก
ที่ทหารไทยต้องมาถึงที่ตาย และบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก
ทั้งๆที่หลีกเลี่ยงได้ แต่พวกเขากลับโง่เขลา
ไปรับบัญชาฝ่ายการเมือง ออกมาเข่นฆ่าประชาชน
เพื่อนร่วมชาติของตัวเองได้...เหลือเชื่อจริงๆ
จึงนำมาซึ่งความวิปโยค และยิ่งตอกย้ำ
บาดแผลแห่งความแตกแยกของชาติ ให้ฉีกขาด แหกเบอะออกไปอีก
อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน!
มาถึงวันนี้ สภาพคนและสังคมไทย
จึงแตกแยกแหลกลาญยับย่อย แบ่งเป็นฝักเป็นฝ่ายอย่างชัดเจน
และต่างฝ่ายก็พร้อมที่จะเข้าห้ำหั่น เข่นฆ่ากันได้ตลอดเวลา...
เพียงแต่รอ...ให้โอกาสเปิดเท่านั้น!
ภายใต้สถานการณ์อันอึมครึม
ไอ้รัฐบาลกาลีที่ทหารจัดตั้ง เลยได้โอกาส Hijack ประเทศไทย ต่อไป
ด้วยการผลาญงบประมาณของชาติบ้านเมือง ไปบานทะโรค!!
ถ้าจับทุจริตไม่ได้ หรือไม่มีหลักฐานชัดเจน
มันก็แดกกันเพลิดเพลินต่อไป โดยโยนเศษเนื้อข้างเขียง
ในรูปงบประมาณให้กับฝ่ายทหาร ได้กินอิ่มนอนหลับกัน
จะได้ไม่ลุกขึ้นมา ‘เอ๊กเซอร์ไซด์’ เหมือนที่เคยปรากฏมาในอดีต
ส่วนไอ้คนของพรรครัฐบาล
ที่ถูกจับผิดได้ว่า สุมหัวกบาลกัน ฉ้อราษฎร์บังหลวง นั้น
พอโดนจับได้ ไอ้พรรคโลซกมันก็แค่ให้พวกของมัน
ที่เกี่ยวข้องกับการโกง ลาออกไป
ซึ่งมีทั้งสมาชิกที่สำคัญระดับรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี ไปจนถึงข้าราชการเมือง
และสมาชิกสภาเขต
มันก็ทำเพียงแค่นั้นจริงๆ!
ไม่เคยคิดจะเอาพรรคพวกของมัน ไปรับโทษานุโทษ ตามกบิลเมืองแต่อย่างใด
มันน่าเจ็บใจนัก!!
ส่วนไอ้ที่ยังไม่โดนจับ ก็ลอยหน้าลอยตา...
รุม ‘แดกบ้าน-ผลาญเมือง’ กันต่อไป!!!
.........................
(***บทความประจำสัปดาห์ ตอน Hijack ประเทศไทย!!! ออนไลน์วันเสาร์ ที่ 26 มีนาคม 2554)
http://www.vattavan.com/detail.php?cont_id=287
ผมเพิ่งได้ยินการปราศรัยที่เวทีมัฆวานเมื่อไม่กี่วันมานี้ โจมตีอาจารย์คนหนึ่งแห่งมหาวิทยาลัย
‘ดิงดองเที่ยงคืน’ ซึ่งโดนกล่าวหาว่า
เขา Hijack เมีย...เพื่อนอาจารย์ ด้วยกัน!
ความจริงไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะที่โด่งดังมากกว่านั้นก็มี เช่น นักการเมือง
Hijack เมีย...สมาชิกร่วมพรรคการเมือง เดียวกัน!!
การ Hijack เมียเพื่อน ก็ผิดศีลข้อ 3 แต่ที่ร้ายไปกว่านั้น คือ
ในปี พ.ศ.2549 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่ Natascha Kampusch (นาตาชา คัมปูช)
โดนลักตัวไปล่วงละเมิดทางเพศนั้น การปกครองระบอบประชาธิปไตย ของปวงชนชาวไทย
ถูก “ไอ้บังกบฏ” กับพวกทหาร Hijack ไป!
ที่ร้ายที่สุด คือ แม้บ้านเมืองจะมีการปกครองแบบประชาธิปไตยแล้ว
แต่ฝ่ายทหารเสือกเข้าไปสอดแทรก
โดยเข้าไปวุ่นวาย จัดการยกเอาพรรคการเมืองโลซก
(ที่สมาชิก Hijack เมียเพื่อนร่วมพรรคเดียวกัน จนโด่งดัง!)
แถมพรรคนี้ยังพ่ายแพ้การเลือกตั้งมาแล้วอีกด้วย
แต่ทหารยังเสือกดันให้มาเป็นแกนนำรัฐบาล โดยการอุ้มชูของพวกตน...
...ดูพวกมันทำ!!
ดังนั้น ผลพวงจากการยึดอำนาจของ “ไอ้บังกบฏ”
ทำให้ประชาชนเกือบทั้งประเทศไม่พอใจ
ส่งให้สถาบันต่างๆในประเทศ ทหาร ศาล อัยการ ตำรวจ ข้าราชการอื่นๆ
ตกต่ำย่อยยับ อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ของชาติเรา
เพราะเกือบทุกสถาบัน โดนถูกกล่าวหาว่า
โอนเอียงเข้าข้าง ฝ่ายที่พวกตนสนับสนุน!
ที่น่าอนาถที่สุด คือ
เมื่อเดือน เม.ย.ปีที่แล้ว ทหารเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมือง
แบบ ‘สุดลิ่มทิ่มประตู’ โดยรับบัญชาฝ่ายการเมืองอย่างขมีขมัน
ด้วยการจัดกำลังยานเกราะ พร้อมอาวุธเต็มอัตราศึก โดยอ้างเหตุผลว่า
จะเข้าผลักดันพี่น้องเพื่อนร่วมชาติของพวกตน
ที่ชุมนุมกันบนถนนราชดำเนิน
โดยฝ่ายทหารเปิดฉากการเข่นฆ่าประชาชน ด้วยกำลังส่วนล่วงหน้า
ที่เป็นหน่วยลอบยิง จนผู้คนตายเกลื่อนถนนหลายสิบศพ บาดเจ็บเป็นจำนวนมาก
โหดร้ายทารุณ เหลือกำลัง!
เดชะบุญ!! ...
ก่อนทหารจะเคลื่อนพล เข้าปราบปรามประชาชนขึ้นเพื่อกวาดล้างเบ็ดเสร็จ
แบบเดียวกันกับเหตุการณ์ที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน นั้น
หน่วยทหารที่กำลังกระเหี้ยนกระหือรือ
กลับก็โดน “กองกำลังไม่ทราบฝ่าย” (เพราะจนบัดนี้ ยังไม่รู้ว่าเป็นใคร)
ปฏิบัติการตีโต้ตอบ ยับยั้งการฆ่าหมู่แทนประชาชน เพื่อช่วยเหลือชาวบ้าน
ที่มีเพียงมือเปล่าๆ จนทหารแตกพ่าย ต้องหนีกระเซอะกระเซิงกลับไป แบบน่าสมเพช
เคราะห์ดีที่กองกำลังไม่ทราบฝ่าย
ไม่ตามตีต่อในลักษณะการไล่ติดตามกวาดล้างให้สิ้นซาก
จึงไม่เสียหายไปกว่านั้น
แต่ถึงกระนั้น ทหารบางนายถึงกับตายกลางเมือง
นายทหารตัวกลั่นไปตายที่โรงพยาบาลก็มี
และที่บาดเจ็บสาหัสไปสองสามร้อยคน รวมทั้งผู้นำหน่วยด้วย
ขายขี้หน้าไปทั่วโลก
ที่ทหารไทยต้องมาถึงที่ตาย และบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก
ทั้งๆที่หลีกเลี่ยงได้ แต่พวกเขากลับโง่เขลา
ไปรับบัญชาฝ่ายการเมือง ออกมาเข่นฆ่าประชาชน
เพื่อนร่วมชาติของตัวเองได้...เหลือเชื่อจริงๆ
จึงนำมาซึ่งความวิปโยค และยิ่งตอกย้ำ
บาดแผลแห่งความแตกแยกของชาติ ให้ฉีกขาด แหกเบอะออกไปอีก
อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน!
มาถึงวันนี้ สภาพคนและสังคมไทย
จึงแตกแยกแหลกลาญยับย่อย แบ่งเป็นฝักเป็นฝ่ายอย่างชัดเจน
และต่างฝ่ายก็พร้อมที่จะเข้าห้ำหั่น เข่นฆ่ากันได้ตลอดเวลา...
เพียงแต่รอ...ให้โอกาสเปิดเท่านั้น!
ภายใต้สถานการณ์อันอึมครึม
ไอ้รัฐบาลกาลีที่ทหารจัดตั้ง เลยได้โอกาส Hijack ประเทศไทย ต่อไป
ด้วยการผลาญงบประมาณของชาติบ้านเมือง ไปบานทะโรค!!
ถ้าจับทุจริตไม่ได้ หรือไม่มีหลักฐานชัดเจน
มันก็แดกกันเพลิดเพลินต่อไป โดยโยนเศษเนื้อข้างเขียง
ในรูปงบประมาณให้กับฝ่ายทหาร ได้กินอิ่มนอนหลับกัน
จะได้ไม่ลุกขึ้นมา ‘เอ๊กเซอร์ไซด์’ เหมือนที่เคยปรากฏมาในอดีต
ส่วนไอ้คนของพรรครัฐบาล
ที่ถูกจับผิดได้ว่า สุมหัวกบาลกัน ฉ้อราษฎร์บังหลวง นั้น
พอโดนจับได้ ไอ้พรรคโลซกมันก็แค่ให้พวกของมัน
ที่เกี่ยวข้องกับการโกง ลาออกไป
ซึ่งมีทั้งสมาชิกที่สำคัญระดับรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี ไปจนถึงข้าราชการเมือง
และสมาชิกสภาเขต
มันก็ทำเพียงแค่นั้นจริงๆ!
ไม่เคยคิดจะเอาพรรคพวกของมัน ไปรับโทษานุโทษ ตามกบิลเมืองแต่อย่างใด
มันน่าเจ็บใจนัก!!
ส่วนไอ้ที่ยังไม่โดนจับ ก็ลอยหน้าลอยตา...
รุม ‘แดกบ้าน-ผลาญเมือง’ กันต่อไป!!!
.........................
(***บทความประจำสัปดาห์ ตอน Hijack ประเทศไทย!!! ออนไลน์วันเสาร์ ที่ 26 มีนาคม 2554)
http://www.vattavan.com/detail.php?cont_id=287
lucky m.- Hero gen.seh member
- จำนวนข้อความ : 2803
Join date : 12/06/2010
Re: Hijack ประเทศไทย!!!วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
มาร์ค มุกควาย ยังเสือก… ‘แหลลวงโลก’ อีกนะ!!!
วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
นายมาร์ค มุกควาย ทำให้ผมต้องพูดถึงอีกแล้วครับท่าน เพราะ ‘มติชนออนไลน์’ เมื่อ 26 มี.ค. 2554 เขาพาดหัวว่า
"มาร์ค"อวดปชป.นำพาชาติพ้นวิกฤต คุยนโยบายบรรลุเป้า ท้าคนอยู่ที่"ดูไบ"ออกทีวีประชันนโยบาย
ข่าวนี้ถูกนำไปโพสแปะ ใน tnews.teenee.com และอีกหลายๆเว็บ แต่ของ ‘ทีนิวส์’ น่าสนใจมาก เพราะมีผู้แสดงความเห็นต่อคำพูดของนายมุกควาย โชว์เอาไว้ถึง 99 ความเห็น ซึ่งผมจะนำตัวอย่าง ที่ไม่รุนแรงนัก มาฝากกันแค่ 2 ความเห็นเท่านั้น เพราะคิดว่าตรงใจท่านผู้อ่านด้วย (แต่ถ้ายังไม่จุใจ ก็ทำลิงค์เอาไว้ให้)
ความคิดเห็นที่ 2
ห่าเอ๊ย..พูดมาได้ไม่อายปาก ถุยส์....
ความคิดเห็นที่ 3
พ้นวิกฤติตรงไหน ยังไงไอ้เอี้ยมาร์ค ไอ้คนลวงโลกตอแหล หน้าด้าน พูดเองเออเอง...ไอ้บ้า...
( http://tnews.teenee.com/politic/64571.html)
ท่านผู้อ่านสังเกตบ้างไหมครับว่า อีตามาร์ค มุกควายนั้น เวลายืนเกาะโพเดียมพูดจาแล้ว ดูเหมือนเจ้าตัวจะมีความมั่นอกมั่นใจเป็นพิเศษ คงจะถูกโฉลกกับการยืนพูด แต่ก็มีบางคนบอกกับผมว่า
นี่เป็นเพราะแกฝึกฝนมา เพื่อการยืนพูดอย่างนี้เป็นพิเศษ มาก่อน โดยต้องฝึกจัดท่าทาง วางมือวางไม้ ใช้สายตาประกอบการพูดฯลฯ ซึ่งเป็นแบบฟอร์มของการโต้วาที ตั้งแต่แกยังเรียนหนังสืออยู่ ณ บ้านเกิดเมืองนอน
ที่เมืองอังกฤษโน่น!
การพูดจากับสมาชิกพรรคในวันนั้น อีตามาร์คก็ใช้มุกควายเดิมๆที่น่าเบื่อ โดยฉายหนังม้วนเก่า ให้กับลูกพรรคฟัง แกคงหวังให้สื่อสารมวลชนที่ไปทำข่าว จะช่วยกันกระจายสิ่งที่แกพูด ให้ไปถึงชาวบ้านด้วย เพราะพักนี้นายมาร์ค มุกควาย จะรู้สึกเป็นทุกข์ใจมาก เพราะสำนักงานสถิติแห่งชาติ ดันมีรายงานออกมาว่า
รายการพูดประจำสัปดาห์ของแก ที่ลอกเลียนแบบมาจากนายกฯทักษิณ ชินวัตร นั้น มีคนสนใจดูทางโทรทัศน์และฟังทางวิทยุ
เพียง 6 % (หกเปอร์เซ็นต์) เท่านั้น!
มันก็น่าตกใจสำหรับนายมาร์ค มุกควาย และสมาชิกพรรคดักดาน แต่ผมกลับไม่แปลกใจเลย เพราะเคยเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังแล้วว่า คนเขียนเคยเดินสำรวจ จากหัวซอยท้ายซอยบ้านที่อยู่อาศัย ไม่พบบ้านหลังไหนในซอย
ฟังรายการที่แสน ‘น่าเบื่อ’ ของแกเลย!!
ที่ว่ามานี้ ไม่ได้นำความเท็จมากล่าว แต่สอดคล้องกับคำพูดของนักจัดรายการรุ่นปลาร้าค้างปี๊บ อย่าง บุญระดม จิตรดอน และ อนัญญา ตั้งใจตรง ที่ผมเคยเล่าให้ฟังแล้วอีกเหมือนกันว่า เธอทั้งสอง พูดยืนยันในรายการซุบซิบนินทานักการเมืองว่า
ไม่มีชาวบ้าน เขาสนใจฟังเลย!
ผู้สื่อข่าวอย่างเธอทั้งสองคนเอง ก็ไม่ได้ฟัง ซึ่งตรงนี้ต่างกับยุคของทักษิณมาก ที่ชาวบ้านร้านตลาดพากันเงี่ยหูฟัง เพราะรายนั้นเขามีของดีๆ โครงการใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์กับพี่น้องคนไทยเราจริงๆ มาบอกเล่าเก้าสิบให้ฟัง เป็นประจำทุกสัปดาห์
ดังนั้น พอถึงวันรายการ “ทักษิณพบประชาชน” ชาวบ้านก็ตั้งอกตั้งใจ ตะแคงหูฟังกันว่า
นายกฯทักษิณได้คิดโครงการใหม่ๆอะไรขึ้นมาอีก ส่วนโครงการที่ทำไปแล้ว ให้ผลดีอย่างไรกับพี่น้องประชาชนบ้าง ทักษิณฯก็นำมาเล่าสู่กันฟังว่า
โครงการไหนประสพความสำเร็จแล้ว หรือมีโครงการอะไรที่ยังเป็นปัญหา เป็นการสื่อสารสองทาง เหมือนพี่น้องคุยกันในครัวเรือน มีการชี้แจงให้ชาวบ้านเห็นว่า ความทุกข์อะไรที่รัฐบาลแก้ไขลุล่วงไปแล้ว อะไรที่ยังไม่สำเร็จ ก็จะตั้งหน้าทำต่อไป จนกว่าจะเสร็จสิ้นสมบูรณ์ นำความสุขมาให้พี่น้องประชาชนได้ นี่เอง เป็นเหตุผลที่พี่น้องประชาชน
อยากฟังคุณทักษิณพูดจริงๆ...สื่อเองก็อยากฟังด้วย!
นอกจากนั้นแล้ว ยังมีเรื่องที่นายมาร์ค มุกควาย และพรรครัฐบาลแก้ไขไม่ได้ คือ การชุมนุมวิพากษ์วิจารณ์ของพันธมิตรที่สะพานมัฆวาน ที่เดินหน้าประกาศความเลวทรามในเรื่องการบริหารงานอย่างไร้ประสิทธิภาพ การคอรัปชั่นแบบ
“แดกกัน...ฉิบหายวายวอด”
ที่นายมาร์คกับพรรคโลซกของเขา ตระหนกมากหนักขึ้นไปอีก ก็คือ
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ซึ่งเคยเป็นสถานที่ศึกษา ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯได้สุ่มตัวอย่างสำรวจ ความนิยมนายมาร์ค มุกควาย จากประชาชน 1000 ตัวอย่าง ผลการสำรวจออกมา ยังความตื่นตะลึง เพราะมีผู้คนเชียงใหม่ ไม่ชื่นชอบนายมาร์ค ทารกรัฐมนตรี
โดยให้ความนิยม 0%
นายมาร์ค...ตกใจมาก เยี่ยวแทบเล็ดเลยทีเดียว!
ความ กังวลในการเสื่อมความนิยมจากประชาชน ทำให้นายมาร์คต้องเพียรพยายาม โฆษณาผลงานของตัวเต็มที่ เพราะขืนไม่ทำ จะต้องพ่ายแพ้การเลือกตั้งเป็นคำรบ 4 ทีเดียว
ดังนั้น การพูดของนายมาร์ค มุกควาย ต่อหน้าเพื่อนร่วมพรรค 26 มี.ค. 2554 ในวันนั้น ตะแกก็นำเรื่องโครงการที่ลอกเลียนแบบทักษิณ บางโครงการกนำมาต่อยอด มาพูดโฆษณาว่าเป็นแนวความคิดของตัว เช่น นโยบายเรียนฟรี 15 ปี รวมถึงเบี้ยผู้สูงอายุ 500 บาท และเบี้ยอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) มาประกาศ ว่า
พรรคประชาธิเปรตภาคภูมิใจทำให้เกิดขึ้นได้สำเร็จ ทั้งๆที่เป็นเรื่องที่ทักษิณทำ pilot project หรือ โครงการนำเอาไว้ก่อนแล้วทั้งนั้น เรื่องคนชรานั้นก็แจกไปบ้างแล้ว และรอการระดมทั้งประเทศภายหลัง การเพิ่มเงินให้บุคลากรท้องถิ่นในยุคทักษิณก็ทำเตรียมไว้แล้วเช่นกัน
ผมเคยตั้งข้อสังเกต เรื่อง “การลอกเลียนแบบทักษิณ” หรือ “การเอาอย่างทักษิณ” ว่า
การลอกเลียนแบบนั้น ฝรั่งเขาว่า เป็นยกยอที่จริงใจที่สุด หรือ
Imitation is the sincerest form of flattery.
จึงต้องบอกประชาชนคนไทย ได้รับรู้ความจริงนี้ โดยทั่วกัน ณ วันนี้ว่า
นายอภิสิทธิ์ หัวหน้าพรรคปลาเน่า หรือนายมาร์ค มุกควาย นั้น คงชื่นชม “ทักษิณ” เป็นอย่างมาก เพราะเมื่ออยู่ในฐานะหัวหน้าฝ่ายค้าน
ก็ด่าเขาและ...ค้านตะพึดตะพือ!
ครั้นถึงวันที่บุญพาวาสนาถีบ ให้ได้เข้ามาเป็นรัฐบาลประชาปลาเน่า ได้แค่เดือนเดียวเท่านั้น พฤติกรรม “การลอกเลียนแบบทักษิณ” หรือ “เอาอย่างทักษิณ” ก็ดันโผล่ออกมาให้ประชาชน เห็นได้ชัดเจน อย่างไม่มีอะไรเคลือบแคลงแฝงแต่อย่างใดเลยเพียงแต่ลอกไปใช้ ทำได้อย่างด้อยประสิทธิภาพ
แต่ออกลูก ‘บ้องตื้น’ เท่านั้น!
นี่เป็นเครื่องแสดงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ ต่อพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งหลาย ว่า
วิสัยทัศน์การเป็นผู้นำระหว่าง “ทักษิณ” กับ นายมาร์ค มุกควาย นั้นห่างกันคนละชั้น หรือไกลกันคนละโยชน์
ถ้าเอาสำนวนฝรั่ง Imitation is the sincerest form of flattery. เข้ามาจับแล้ว หากผมจะพูดอีกอย่างหนึ่ง ว่า
“นายมาร์ค มุกควาย คือแฟนคลับตัวจริงของ ทักษิณ ชินวัตร!!!?”
การที่เราจะเลียนแบบคนอื่นนั้น ปกติแล้วเราจะต้องเลียนแบบคนที่เก่ง คนที่มีชื่อเสียง ไม่มีใครที่หนวย จะไปเลียนแบบ คนที่ไม่เป็นโล้เป็นพาย หรือไปเอาอย่างไอ้พวกขี้เท่อ
จริงหรือเปล่าครับ!?
ท่านผู้อ่าน ที่เคารพครับ
วันที่นายมาร์ค มุกควาย ไปเกาะโพเดียมพูดกับสมาชิกพรรคนั้น แกพยายามออกมาพูดจาโฆษณาชักจูง เพื่อให้ชาวบ้านหลงเชื่อว่า
ควรได้รับเลือกพรรคประชาธิเปรต ให้กลับมาบริหารชาติบ้านเมืองต่อไป ไม่ใช่เลือกใช้พรรคประชาธิปัตย์ในยามวิกฤติเท่านั้น
ผมได้ยินแล้วแล้ว...หัวร่อก้ากเลย!
เหตุที่ตัวคนเขียนถึงกับขำกลิ้ง ก็เพราะเคยเขียนเอาไว้ว่า พรรคประชาธิเปรตนั้น เป็น “นักกัด” ในระบอบประชาธิปไตย ตัว จริง เพราะเข้าตัวอย่างที่ นายมารค์ วอร์เนอร์ (Mark Warner) ผู้ว่าการรัฐเวอร์จิเนีย ที่เคยมีข่าว จะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี แข่งกับโอบามา เคยพูดเอาไว้ว่า
"การเมืองเป็นกิจการเดียวที่ ‘การไม่ทำอะไรเลย' นอกไปจากการกระทำให้อีกฝ่ายเสื่อมเสีย เป็นผลลัพธ์ที่ยอมรับกันได้"
(Politics is the only business where doing nothing other than making the other guy look bad is an acceptable outcome.)
ท่านลองคิดดูสิครับว่า
พฤติกรรมของพรรคนี้ มีอะไรที่คล้ายคลึงกับคำพูดของนักการเมืองสหรัฐคนนี้บ้างหรือไม่?
ที่เห็นกันชัดๆ ก็คือ...
ในการเลือกตั้ง 3 ครั้งใหญ่ที่ผ่านมา นั้น พรรคประชาธิเปรตพ่ายแพ้ต่อพรรคทักษิณติดต่อกัน แบบ ‘แฮตทริก’ เลย
เป็นฝ่ายค้านมายาวนาน ถึง 3 สมัยซ้อน!
แสดงให้เห็นชัดเจนว่า พรรคของนายมาร์คหมดปัญญาสู้กับทักษิณ จึงต้องลงเล่นใต้ดิน ด้วยการส่งสมาชิกพรรคของตน เข้าไปเป็นแกนนำของพันธมิตร เพื่อให้ช่วยบ่อนทำลายคู่ปรับที่พรรคดักดานของตัวไม่มีทางสู้อีก
นอกจากนั้น ยังสนับสนุนแบบทุ่มสุดตัว ทั้งเงินทองและความช่วยเหลืออย่างอื่นด้วย เช่น เกณฑ์คนมาร่วมชุมนุมกับพันธมิตร และบางครั้งสมาชิกคนสำคัญ ก็เข้าร่วมปราศรัยขับไล่รัฐบาล ที่พวกตนสู้ไม่ได้ ต้องพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งทุกครั้ง
ความจริงนี้มีหลักฐานชัดเจน...ปฏิเสธไม่ได้!!
เมื่อพรรคของฝ่ายทักษิณ ที่ชนะการเลือกตั้งมาแท้ๆ ต้องถูกโค่นล้มลง เพราะ ‘อำนาจอัปรีย์’ ที่ทำร้ายระบอบประชาธิปไตยโอกาสจึงเปิดออกให้ นายมาร์ค มุกควาย ได้เข้ามานั่งในตำแหน่ง ‘CEO ประเทศไทย’ โดยมีปัจจัยอื่น มาช่วยเหลือการขึ้นสู่อำนาจของเขา อย่างน่ารังเกียจ
มีหลักฐานยืนยันในเรื่องนี้ชัดเจน จากผู้นำขบวนการโค่นล้มรัฐบาลของพรรคทักษิณ คือ
นายสนธิ ลิ้มทองกุล
content/picdata/288/data/photo.jpg
ผู้ซึ่งนายมาร์ค มุกควาย ไปยืน ‘กอกระดุม’ อวย พรวันเกิด อย่างอ่อนน้อม พร้อมอมยิ้มอย่างประจบประแจง ตามภาพที่ท่านได้เห็น คล้ายกับว่ารักเคาระและจงรักภักดีต่อนายสนธิเสียเหลือเกิน ดุจแกเป็นแค่ ‘ลูกกระจ๊อก’ ของเจ้าของวันเกิดมาแต่ชาติปางก่อน แต่มีบางคนกลับแย้งผมว่า
นายมาร์คจะเป็นได้ ก็แค่ ‘ลูกกระเป๋งข้างซ้าย’ ของสนธิเท่านั้น!
อีตาสนธิฯเอง ก็เพิ่งออกมาเปิดเผย อย่างเต็มปากเต็มคำ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ ณ เวทีมัฆวาน ว่า
ผู้ นำทหารของเมืองไทย ได้เข้ามาแทรกแซงทางการเมือง อย่างน่าเกลียดน่าชัง โดยทำ ‘เฮดล๊อค’ ผู้นำพรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบัน เข้าไปในค่ายทหาร แล้วข่มขู่ว่า หากไม่ร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลกับประชาธิปัตย์
จะทำการปฏิวัติ!
นี่เอง ที่ทำให้พรรคการเมืองเหล่านั้น ถึงกับตัวสั่น ออกอาการ ‘ขี้หด-ตดแตก’ ต้องยอมร่วมมือกันจัดตั้งรัฐบาล โดยมีพรรคของนายมาร์ค มุกควาย เป็นแกนนำ จนเป็นเหตุให้ประชาชนคนไทย ได้...
รัฐบาลกาลี เข้ามาบริหารประเทศ นี่ไงครับ!
นายมาร์ค มุกควาย รู้ดีอยู่แก่ใจ ยังเสือกคิดว่าพี่น้องประชาชนเขาโง่ ออกมา ‘แหลลวงโลก’ ต่อไปอีกว่า
อย่าเลือกใช้พรรคดักดานของตัว ตอนที่ประเทศวิกฤติเท่านั้น
ชาวบ้านได้ยินเข้า เขาก็ฉุน ออกมาสวนว่า
“ก็ไอ้พวกจังไรอย่างมึงนั่นแหละ ที่สร้างวิกฤติให้ชาติบ้านเมือง ทำให้พวกกูต้องเดือดร้อน...ไอ้พวกเปรต!”
ผู้คนเขาจึงต้องออกมา เดินขบวนและชุมนุมคัดค้าน แต่ทหารออกมาปราบปรามรุนแรงหฤโหดสุดๆ
ราษฎรก็เลยพากันวิพากษ์วิจารณ์ในทำนองว่า
ไอ้พวกทหารนี่โง่ฉิบหาย แค่นักการเมืองโยน ‘เศษเนื้อข้างเขียง’ ให้เท่านั้น...
ก็ ‘ไล่ฆ่า’ ประชาชนเสียแล้ว...น่าทุเรศมาก!!
เมื่อ พูดถึงเรื่องผู้คน ออกมาแสดงความไม่พอใจ คัดค้าน ต่อต้านรัฐบาลโลซกชุดนี้ ก็ต้องพูดถึงการชุมนุมที่สะพานมัฆวานอีกแล้ว เพราะการที่นายมาร์ค มุกควาย ต้องตาลีตาเหลือกออกมาประกาศ “ยุบสภา” สาเหตุไม่ใช่อื่นไกล แต่เป็นเพราะการปราศรัยของเหล่าพันธมิตร กระแทกใจชาวบ้านชาวเมืองมาก เพราะคนพวกนี้ขยันหาข้อมูล จนรัฐบาลเถียงไม่ออก ผู้คนเสื่อมความนิยมและ...
เกลียดชังรัฐบาลกาลีชุดนี้ มากยิ่งขึ้นทุกที!
อย่างเมื่อคืนวันอาทิตย์ก่อน ประพันธ์ คูณมี ก็ออกมาจารนัยจนผู้จัดการออนไลน์เขาออกมาพาดหัวว่า
"ประพันธ์" สับอีก 30 นิสัย 30 ล้มเหลว ยัน“มาร์ค”ไม่เหมาะเป็นนายกฯ
แล้วโปรยตามว่า
"ประพันธ์" ชี้พฤติกรรมอันตราย “มาร์ค” ยกนิสัยน่าขยะแขยง 30 ข้อการันตรีไม่เหมาะเป็นผู้นำประเทศ ชี้ที่ ปชช.รับไม่ได้สุดๆ “หน้าด้าน แถ แหลเป็นอาจิน” เผยเตรียมตอกย้ำรายวันอีก 30 ข้อ ความผิดพลาดในการบริหารประเทศ
ผมจะไม่นำข้อความทั้งหมดมาลง แต่จะระบุหัวข้อให้ท่านผู้อ่านตามไปฟังกัน คือ แค่ข้อ 2-10 ลองพิจารณาแล้วคิดตามไปด้วยก็แล้วกัน เขาเรียงข้ออย่างนี้ครับ...
2. มีจิตใจคับแคบคบคนจำกัด ไม่มีมนุษย์สัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน เห็นประชาชนเป็นแค่ลิ่วล้อทางการเมือง
3. ไม่มีวิธีคิด ไม่มีศิลปะการทำงาน ที่จะนำพาชาติไปสู่ความก้าวหน้าได้ แม้แต่เรื่องเดียว
4. ขาดความรู้ประสบการณ์ในการบริหารประเทศ ที่สำคัญมีความรู้ท่วมหัวแต่เอาตัวไม่รอด
5. ไม่เคารพความคิดเห็นของผู้อื่น
6. ไม่ใช่เป็นนักประชาธิปไตย แต่เป็นเพียงนักเลือกตั้งน้ำเน่าคนหนึ่งของประเทศไทย
7. คุกคามสิทธิเสรีภาพของประชาชน
8. ขี้ขลาด ตาขาว ขี้กลัว ยอมจำนนไม่กล้าต่อสู้ ไม่เคยมีชีวิตเพื่อต่อสู้กับความยากลำบาก โดยเฉพาะปัญหาความเป็นความตายของบ้านเมือง ไม่มีความรับผิดชอบ ปัดความรับผิดชอบต่อความล้มเหลวในการบริหารบ้านเมือง
9. หยิ่งยโสโอหัง แก้ตัวอย่างหน้าด้านๆ
10. ชอบเถียง แถ แหล เป็นอาจินต์
(http://www2.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9540000038909)
สำหรับข้อ 10 ของคุณประพันธ์ฯนั้น ดูจะถูกใจผมมากที่สุด เพราะการที่นายมาร์ค มุกควายไปเกาะโพเดียม พูดกับลูกพรรค ดังที่เล่าให้ท่านฟังแล้วนั้น
ถ้าผมเป็นเพื่อนสนิทกับ มิสเตอร์มาร์ค มุกควาย คงจะต้องเดินตรงเข้าไปหา ชี้หน้า แล้วพูดตรงๆกับเขาว่า....
“เฮ้ยไอ้มาร์ค มุกควาย เอ็งก็รู้ดีอยู่แก่ใจแล้ว ยังเสือกแหลลวงโลกอีกนะ...ไอ้เวร!!!”
............................
วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
นายมาร์ค มุกควาย ทำให้ผมต้องพูดถึงอีกแล้วครับท่าน เพราะ ‘มติชนออนไลน์’ เมื่อ 26 มี.ค. 2554 เขาพาดหัวว่า
"มาร์ค"อวดปชป.นำพาชาติพ้นวิกฤต คุยนโยบายบรรลุเป้า ท้าคนอยู่ที่"ดูไบ"ออกทีวีประชันนโยบาย
ข่าวนี้ถูกนำไปโพสแปะ ใน tnews.teenee.com และอีกหลายๆเว็บ แต่ของ ‘ทีนิวส์’ น่าสนใจมาก เพราะมีผู้แสดงความเห็นต่อคำพูดของนายมุกควาย โชว์เอาไว้ถึง 99 ความเห็น ซึ่งผมจะนำตัวอย่าง ที่ไม่รุนแรงนัก มาฝากกันแค่ 2 ความเห็นเท่านั้น เพราะคิดว่าตรงใจท่านผู้อ่านด้วย (แต่ถ้ายังไม่จุใจ ก็ทำลิงค์เอาไว้ให้)
ความคิดเห็นที่ 2
ห่าเอ๊ย..พูดมาได้ไม่อายปาก ถุยส์....
ความคิดเห็นที่ 3
พ้นวิกฤติตรงไหน ยังไงไอ้เอี้ยมาร์ค ไอ้คนลวงโลกตอแหล หน้าด้าน พูดเองเออเอง...ไอ้บ้า...
( http://tnews.teenee.com/politic/64571.html)
ท่านผู้อ่านสังเกตบ้างไหมครับว่า อีตามาร์ค มุกควายนั้น เวลายืนเกาะโพเดียมพูดจาแล้ว ดูเหมือนเจ้าตัวจะมีความมั่นอกมั่นใจเป็นพิเศษ คงจะถูกโฉลกกับการยืนพูด แต่ก็มีบางคนบอกกับผมว่า
นี่เป็นเพราะแกฝึกฝนมา เพื่อการยืนพูดอย่างนี้เป็นพิเศษ มาก่อน โดยต้องฝึกจัดท่าทาง วางมือวางไม้ ใช้สายตาประกอบการพูดฯลฯ ซึ่งเป็นแบบฟอร์มของการโต้วาที ตั้งแต่แกยังเรียนหนังสืออยู่ ณ บ้านเกิดเมืองนอน
ที่เมืองอังกฤษโน่น!
การพูดจากับสมาชิกพรรคในวันนั้น อีตามาร์คก็ใช้มุกควายเดิมๆที่น่าเบื่อ โดยฉายหนังม้วนเก่า ให้กับลูกพรรคฟัง แกคงหวังให้สื่อสารมวลชนที่ไปทำข่าว จะช่วยกันกระจายสิ่งที่แกพูด ให้ไปถึงชาวบ้านด้วย เพราะพักนี้นายมาร์ค มุกควาย จะรู้สึกเป็นทุกข์ใจมาก เพราะสำนักงานสถิติแห่งชาติ ดันมีรายงานออกมาว่า
รายการพูดประจำสัปดาห์ของแก ที่ลอกเลียนแบบมาจากนายกฯทักษิณ ชินวัตร นั้น มีคนสนใจดูทางโทรทัศน์และฟังทางวิทยุ
เพียง 6 % (หกเปอร์เซ็นต์) เท่านั้น!
มันก็น่าตกใจสำหรับนายมาร์ค มุกควาย และสมาชิกพรรคดักดาน แต่ผมกลับไม่แปลกใจเลย เพราะเคยเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังแล้วว่า คนเขียนเคยเดินสำรวจ จากหัวซอยท้ายซอยบ้านที่อยู่อาศัย ไม่พบบ้านหลังไหนในซอย
ฟังรายการที่แสน ‘น่าเบื่อ’ ของแกเลย!!
ที่ว่ามานี้ ไม่ได้นำความเท็จมากล่าว แต่สอดคล้องกับคำพูดของนักจัดรายการรุ่นปลาร้าค้างปี๊บ อย่าง บุญระดม จิตรดอน และ อนัญญา ตั้งใจตรง ที่ผมเคยเล่าให้ฟังแล้วอีกเหมือนกันว่า เธอทั้งสอง พูดยืนยันในรายการซุบซิบนินทานักการเมืองว่า
ไม่มีชาวบ้าน เขาสนใจฟังเลย!
ผู้สื่อข่าวอย่างเธอทั้งสองคนเอง ก็ไม่ได้ฟัง ซึ่งตรงนี้ต่างกับยุคของทักษิณมาก ที่ชาวบ้านร้านตลาดพากันเงี่ยหูฟัง เพราะรายนั้นเขามีของดีๆ โครงการใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์กับพี่น้องคนไทยเราจริงๆ มาบอกเล่าเก้าสิบให้ฟัง เป็นประจำทุกสัปดาห์
ดังนั้น พอถึงวันรายการ “ทักษิณพบประชาชน” ชาวบ้านก็ตั้งอกตั้งใจ ตะแคงหูฟังกันว่า
นายกฯทักษิณได้คิดโครงการใหม่ๆอะไรขึ้นมาอีก ส่วนโครงการที่ทำไปแล้ว ให้ผลดีอย่างไรกับพี่น้องประชาชนบ้าง ทักษิณฯก็นำมาเล่าสู่กันฟังว่า
โครงการไหนประสพความสำเร็จแล้ว หรือมีโครงการอะไรที่ยังเป็นปัญหา เป็นการสื่อสารสองทาง เหมือนพี่น้องคุยกันในครัวเรือน มีการชี้แจงให้ชาวบ้านเห็นว่า ความทุกข์อะไรที่รัฐบาลแก้ไขลุล่วงไปแล้ว อะไรที่ยังไม่สำเร็จ ก็จะตั้งหน้าทำต่อไป จนกว่าจะเสร็จสิ้นสมบูรณ์ นำความสุขมาให้พี่น้องประชาชนได้ นี่เอง เป็นเหตุผลที่พี่น้องประชาชน
อยากฟังคุณทักษิณพูดจริงๆ...สื่อเองก็อยากฟังด้วย!
นอกจากนั้นแล้ว ยังมีเรื่องที่นายมาร์ค มุกควาย และพรรครัฐบาลแก้ไขไม่ได้ คือ การชุมนุมวิพากษ์วิจารณ์ของพันธมิตรที่สะพานมัฆวาน ที่เดินหน้าประกาศความเลวทรามในเรื่องการบริหารงานอย่างไร้ประสิทธิภาพ การคอรัปชั่นแบบ
“แดกกัน...ฉิบหายวายวอด”
ที่นายมาร์คกับพรรคโลซกของเขา ตระหนกมากหนักขึ้นไปอีก ก็คือ
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ซึ่งเคยเป็นสถานที่ศึกษา ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯได้สุ่มตัวอย่างสำรวจ ความนิยมนายมาร์ค มุกควาย จากประชาชน 1000 ตัวอย่าง ผลการสำรวจออกมา ยังความตื่นตะลึง เพราะมีผู้คนเชียงใหม่ ไม่ชื่นชอบนายมาร์ค ทารกรัฐมนตรี
โดยให้ความนิยม 0%
นายมาร์ค...ตกใจมาก เยี่ยวแทบเล็ดเลยทีเดียว!
ความ กังวลในการเสื่อมความนิยมจากประชาชน ทำให้นายมาร์คต้องเพียรพยายาม โฆษณาผลงานของตัวเต็มที่ เพราะขืนไม่ทำ จะต้องพ่ายแพ้การเลือกตั้งเป็นคำรบ 4 ทีเดียว
ดังนั้น การพูดของนายมาร์ค มุกควาย ต่อหน้าเพื่อนร่วมพรรค 26 มี.ค. 2554 ในวันนั้น ตะแกก็นำเรื่องโครงการที่ลอกเลียนแบบทักษิณ บางโครงการกนำมาต่อยอด มาพูดโฆษณาว่าเป็นแนวความคิดของตัว เช่น นโยบายเรียนฟรี 15 ปี รวมถึงเบี้ยผู้สูงอายุ 500 บาท และเบี้ยอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) มาประกาศ ว่า
พรรคประชาธิเปรตภาคภูมิใจทำให้เกิดขึ้นได้สำเร็จ ทั้งๆที่เป็นเรื่องที่ทักษิณทำ pilot project หรือ โครงการนำเอาไว้ก่อนแล้วทั้งนั้น เรื่องคนชรานั้นก็แจกไปบ้างแล้ว และรอการระดมทั้งประเทศภายหลัง การเพิ่มเงินให้บุคลากรท้องถิ่นในยุคทักษิณก็ทำเตรียมไว้แล้วเช่นกัน
ผมเคยตั้งข้อสังเกต เรื่อง “การลอกเลียนแบบทักษิณ” หรือ “การเอาอย่างทักษิณ” ว่า
การลอกเลียนแบบนั้น ฝรั่งเขาว่า เป็นยกยอที่จริงใจที่สุด หรือ
Imitation is the sincerest form of flattery.
จึงต้องบอกประชาชนคนไทย ได้รับรู้ความจริงนี้ โดยทั่วกัน ณ วันนี้ว่า
นายอภิสิทธิ์ หัวหน้าพรรคปลาเน่า หรือนายมาร์ค มุกควาย นั้น คงชื่นชม “ทักษิณ” เป็นอย่างมาก เพราะเมื่ออยู่ในฐานะหัวหน้าฝ่ายค้าน
ก็ด่าเขาและ...ค้านตะพึดตะพือ!
ครั้นถึงวันที่บุญพาวาสนาถีบ ให้ได้เข้ามาเป็นรัฐบาลประชาปลาเน่า ได้แค่เดือนเดียวเท่านั้น พฤติกรรม “การลอกเลียนแบบทักษิณ” หรือ “เอาอย่างทักษิณ” ก็ดันโผล่ออกมาให้ประชาชน เห็นได้ชัดเจน อย่างไม่มีอะไรเคลือบแคลงแฝงแต่อย่างใดเลยเพียงแต่ลอกไปใช้ ทำได้อย่างด้อยประสิทธิภาพ
แต่ออกลูก ‘บ้องตื้น’ เท่านั้น!
นี่เป็นเครื่องแสดงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ ต่อพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งหลาย ว่า
วิสัยทัศน์การเป็นผู้นำระหว่าง “ทักษิณ” กับ นายมาร์ค มุกควาย นั้นห่างกันคนละชั้น หรือไกลกันคนละโยชน์
ถ้าเอาสำนวนฝรั่ง Imitation is the sincerest form of flattery. เข้ามาจับแล้ว หากผมจะพูดอีกอย่างหนึ่ง ว่า
“นายมาร์ค มุกควาย คือแฟนคลับตัวจริงของ ทักษิณ ชินวัตร!!!?”
การที่เราจะเลียนแบบคนอื่นนั้น ปกติแล้วเราจะต้องเลียนแบบคนที่เก่ง คนที่มีชื่อเสียง ไม่มีใครที่หนวย จะไปเลียนแบบ คนที่ไม่เป็นโล้เป็นพาย หรือไปเอาอย่างไอ้พวกขี้เท่อ
จริงหรือเปล่าครับ!?
ท่านผู้อ่าน ที่เคารพครับ
วันที่นายมาร์ค มุกควาย ไปเกาะโพเดียมพูดกับสมาชิกพรรคนั้น แกพยายามออกมาพูดจาโฆษณาชักจูง เพื่อให้ชาวบ้านหลงเชื่อว่า
ควรได้รับเลือกพรรคประชาธิเปรต ให้กลับมาบริหารชาติบ้านเมืองต่อไป ไม่ใช่เลือกใช้พรรคประชาธิปัตย์ในยามวิกฤติเท่านั้น
ผมได้ยินแล้วแล้ว...หัวร่อก้ากเลย!
เหตุที่ตัวคนเขียนถึงกับขำกลิ้ง ก็เพราะเคยเขียนเอาไว้ว่า พรรคประชาธิเปรตนั้น เป็น “นักกัด” ในระบอบประชาธิปไตย ตัว จริง เพราะเข้าตัวอย่างที่ นายมารค์ วอร์เนอร์ (Mark Warner) ผู้ว่าการรัฐเวอร์จิเนีย ที่เคยมีข่าว จะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี แข่งกับโอบามา เคยพูดเอาไว้ว่า
"การเมืองเป็นกิจการเดียวที่ ‘การไม่ทำอะไรเลย' นอกไปจากการกระทำให้อีกฝ่ายเสื่อมเสีย เป็นผลลัพธ์ที่ยอมรับกันได้"
(Politics is the only business where doing nothing other than making the other guy look bad is an acceptable outcome.)
ท่านลองคิดดูสิครับว่า
พฤติกรรมของพรรคนี้ มีอะไรที่คล้ายคลึงกับคำพูดของนักการเมืองสหรัฐคนนี้บ้างหรือไม่?
ที่เห็นกันชัดๆ ก็คือ...
ในการเลือกตั้ง 3 ครั้งใหญ่ที่ผ่านมา นั้น พรรคประชาธิเปรตพ่ายแพ้ต่อพรรคทักษิณติดต่อกัน แบบ ‘แฮตทริก’ เลย
เป็นฝ่ายค้านมายาวนาน ถึง 3 สมัยซ้อน!
แสดงให้เห็นชัดเจนว่า พรรคของนายมาร์คหมดปัญญาสู้กับทักษิณ จึงต้องลงเล่นใต้ดิน ด้วยการส่งสมาชิกพรรคของตน เข้าไปเป็นแกนนำของพันธมิตร เพื่อให้ช่วยบ่อนทำลายคู่ปรับที่พรรคดักดานของตัวไม่มีทางสู้อีก
นอกจากนั้น ยังสนับสนุนแบบทุ่มสุดตัว ทั้งเงินทองและความช่วยเหลืออย่างอื่นด้วย เช่น เกณฑ์คนมาร่วมชุมนุมกับพันธมิตร และบางครั้งสมาชิกคนสำคัญ ก็เข้าร่วมปราศรัยขับไล่รัฐบาล ที่พวกตนสู้ไม่ได้ ต้องพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งทุกครั้ง
ความจริงนี้มีหลักฐานชัดเจน...ปฏิเสธไม่ได้!!
เมื่อพรรคของฝ่ายทักษิณ ที่ชนะการเลือกตั้งมาแท้ๆ ต้องถูกโค่นล้มลง เพราะ ‘อำนาจอัปรีย์’ ที่ทำร้ายระบอบประชาธิปไตยโอกาสจึงเปิดออกให้ นายมาร์ค มุกควาย ได้เข้ามานั่งในตำแหน่ง ‘CEO ประเทศไทย’ โดยมีปัจจัยอื่น มาช่วยเหลือการขึ้นสู่อำนาจของเขา อย่างน่ารังเกียจ
มีหลักฐานยืนยันในเรื่องนี้ชัดเจน จากผู้นำขบวนการโค่นล้มรัฐบาลของพรรคทักษิณ คือ
นายสนธิ ลิ้มทองกุล
content/picdata/288/data/photo.jpg
ผู้ซึ่งนายมาร์ค มุกควาย ไปยืน ‘กอกระดุม’ อวย พรวันเกิด อย่างอ่อนน้อม พร้อมอมยิ้มอย่างประจบประแจง ตามภาพที่ท่านได้เห็น คล้ายกับว่ารักเคาระและจงรักภักดีต่อนายสนธิเสียเหลือเกิน ดุจแกเป็นแค่ ‘ลูกกระจ๊อก’ ของเจ้าของวันเกิดมาแต่ชาติปางก่อน แต่มีบางคนกลับแย้งผมว่า
นายมาร์คจะเป็นได้ ก็แค่ ‘ลูกกระเป๋งข้างซ้าย’ ของสนธิเท่านั้น!
อีตาสนธิฯเอง ก็เพิ่งออกมาเปิดเผย อย่างเต็มปากเต็มคำ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ ณ เวทีมัฆวาน ว่า
ผู้ นำทหารของเมืองไทย ได้เข้ามาแทรกแซงทางการเมือง อย่างน่าเกลียดน่าชัง โดยทำ ‘เฮดล๊อค’ ผู้นำพรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบัน เข้าไปในค่ายทหาร แล้วข่มขู่ว่า หากไม่ร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลกับประชาธิปัตย์
จะทำการปฏิวัติ!
นี่เอง ที่ทำให้พรรคการเมืองเหล่านั้น ถึงกับตัวสั่น ออกอาการ ‘ขี้หด-ตดแตก’ ต้องยอมร่วมมือกันจัดตั้งรัฐบาล โดยมีพรรคของนายมาร์ค มุกควาย เป็นแกนนำ จนเป็นเหตุให้ประชาชนคนไทย ได้...
รัฐบาลกาลี เข้ามาบริหารประเทศ นี่ไงครับ!
นายมาร์ค มุกควาย รู้ดีอยู่แก่ใจ ยังเสือกคิดว่าพี่น้องประชาชนเขาโง่ ออกมา ‘แหลลวงโลก’ ต่อไปอีกว่า
อย่าเลือกใช้พรรคดักดานของตัว ตอนที่ประเทศวิกฤติเท่านั้น
ชาวบ้านได้ยินเข้า เขาก็ฉุน ออกมาสวนว่า
“ก็ไอ้พวกจังไรอย่างมึงนั่นแหละ ที่สร้างวิกฤติให้ชาติบ้านเมือง ทำให้พวกกูต้องเดือดร้อน...ไอ้พวกเปรต!”
ผู้คนเขาจึงต้องออกมา เดินขบวนและชุมนุมคัดค้าน แต่ทหารออกมาปราบปรามรุนแรงหฤโหดสุดๆ
ราษฎรก็เลยพากันวิพากษ์วิจารณ์ในทำนองว่า
ไอ้พวกทหารนี่โง่ฉิบหาย แค่นักการเมืองโยน ‘เศษเนื้อข้างเขียง’ ให้เท่านั้น...
ก็ ‘ไล่ฆ่า’ ประชาชนเสียแล้ว...น่าทุเรศมาก!!
เมื่อ พูดถึงเรื่องผู้คน ออกมาแสดงความไม่พอใจ คัดค้าน ต่อต้านรัฐบาลโลซกชุดนี้ ก็ต้องพูดถึงการชุมนุมที่สะพานมัฆวานอีกแล้ว เพราะการที่นายมาร์ค มุกควาย ต้องตาลีตาเหลือกออกมาประกาศ “ยุบสภา” สาเหตุไม่ใช่อื่นไกล แต่เป็นเพราะการปราศรัยของเหล่าพันธมิตร กระแทกใจชาวบ้านชาวเมืองมาก เพราะคนพวกนี้ขยันหาข้อมูล จนรัฐบาลเถียงไม่ออก ผู้คนเสื่อมความนิยมและ...
เกลียดชังรัฐบาลกาลีชุดนี้ มากยิ่งขึ้นทุกที!
อย่างเมื่อคืนวันอาทิตย์ก่อน ประพันธ์ คูณมี ก็ออกมาจารนัยจนผู้จัดการออนไลน์เขาออกมาพาดหัวว่า
"ประพันธ์" สับอีก 30 นิสัย 30 ล้มเหลว ยัน“มาร์ค”ไม่เหมาะเป็นนายกฯ
แล้วโปรยตามว่า
"ประพันธ์" ชี้พฤติกรรมอันตราย “มาร์ค” ยกนิสัยน่าขยะแขยง 30 ข้อการันตรีไม่เหมาะเป็นผู้นำประเทศ ชี้ที่ ปชช.รับไม่ได้สุดๆ “หน้าด้าน แถ แหลเป็นอาจิน” เผยเตรียมตอกย้ำรายวันอีก 30 ข้อ ความผิดพลาดในการบริหารประเทศ
ผมจะไม่นำข้อความทั้งหมดมาลง แต่จะระบุหัวข้อให้ท่านผู้อ่านตามไปฟังกัน คือ แค่ข้อ 2-10 ลองพิจารณาแล้วคิดตามไปด้วยก็แล้วกัน เขาเรียงข้ออย่างนี้ครับ...
2. มีจิตใจคับแคบคบคนจำกัด ไม่มีมนุษย์สัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน เห็นประชาชนเป็นแค่ลิ่วล้อทางการเมือง
3. ไม่มีวิธีคิด ไม่มีศิลปะการทำงาน ที่จะนำพาชาติไปสู่ความก้าวหน้าได้ แม้แต่เรื่องเดียว
4. ขาดความรู้ประสบการณ์ในการบริหารประเทศ ที่สำคัญมีความรู้ท่วมหัวแต่เอาตัวไม่รอด
5. ไม่เคารพความคิดเห็นของผู้อื่น
6. ไม่ใช่เป็นนักประชาธิปไตย แต่เป็นเพียงนักเลือกตั้งน้ำเน่าคนหนึ่งของประเทศไทย
7. คุกคามสิทธิเสรีภาพของประชาชน
8. ขี้ขลาด ตาขาว ขี้กลัว ยอมจำนนไม่กล้าต่อสู้ ไม่เคยมีชีวิตเพื่อต่อสู้กับความยากลำบาก โดยเฉพาะปัญหาความเป็นความตายของบ้านเมือง ไม่มีความรับผิดชอบ ปัดความรับผิดชอบต่อความล้มเหลวในการบริหารบ้านเมือง
9. หยิ่งยโสโอหัง แก้ตัวอย่างหน้าด้านๆ
10. ชอบเถียง แถ แหล เป็นอาจินต์
(http://www2.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9540000038909)
สำหรับข้อ 10 ของคุณประพันธ์ฯนั้น ดูจะถูกใจผมมากที่สุด เพราะการที่นายมาร์ค มุกควายไปเกาะโพเดียม พูดกับลูกพรรค ดังที่เล่าให้ท่านฟังแล้วนั้น
ถ้าผมเป็นเพื่อนสนิทกับ มิสเตอร์มาร์ค มุกควาย คงจะต้องเดินตรงเข้าไปหา ชี้หน้า แล้วพูดตรงๆกับเขาว่า....
“เฮ้ยไอ้มาร์ค มุกควาย เอ็งก็รู้ดีอยู่แก่ใจแล้ว ยังเสือกแหลลวงโลกอีกนะ...ไอ้เวร!!!”
............................
lucky m.- Hero gen.seh member
- จำนวนข้อความ : 2803
Join date : 12/06/2010
Similar topics
» ตามคำเรียกร้อง จาก วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
» อุเหม่!...ไอ้ ‘จ้าวเจี้ยว’ โดย วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
» ทหารสังคัง VS ทหารโจร!!! วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
» วาทตะวัน สุพรรณเภษัช ‘พรรค’ นั้นเหมาะ คิด ‘กบฏ-อัปลักษณ์’
» อ.ส.ม.ท. อย่าให้ใครนินทาว่า เป็นแค่ “เนชั่ว” สาขา 2!!! วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
» อุเหม่!...ไอ้ ‘จ้าวเจี้ยว’ โดย วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
» ทหารสังคัง VS ทหารโจร!!! วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
» วาทตะวัน สุพรรณเภษัช ‘พรรค’ นั้นเหมาะ คิด ‘กบฏ-อัปลักษณ์’
» อ.ส.ม.ท. อย่าให้ใครนินทาว่า เป็นแค่ “เนชั่ว” สาขา 2!!! วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
หน้า 1 จาก 1
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ