ดูเหมือนใครหลายคนจะบอกว่ามาร์คและปชป. กำลังจะเผาบ้านเผาเมืองเสียเอง??!!
หน้า 1 จาก 1
ดูเหมือนใครหลายคนจะบอกว่ามาร์คและปชป. กำลังจะเผาบ้านเผาเมืองเสียเอง??!!
ไปเห็นบทความนี้ที่FB ของคุณPhoenix ..เห็นว่ามีหลายแง่มุมน่าสนใจเลยขอนำมาขยาย
ดูเหมือนใครหลายคนจะบอกว่ามาร์คและปชป. กำลังจะเผาบ้านเผาเมืองเสียเอง
บทความจากคุณ สัมมาชน
อ่านบทความจากบางสื่อในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา.... โดยเฉพาะอย่างยิ่งมติชนวันนี้... สังเกตุเห็นว่าเริ่มมีกระแสฟันธงระบุว่าประชาธิปัตย์กำลังติดกับดัก "เผาบ้านเผาเมือง" ที่ตนเองตั้งใจสร้างขึ้นมาเพื่อดักคู่แข่งแท้ๆ
ผมย้อนนึกไปถึงช่วงแรกๆที่จัดตั้ง "รัฐบาลเทพประทาน" จำได้ว่าอภิสิทธิ์ได้ภาพของความหวังชาวกรุงเทพฯและบรรดาผู้นำภาคธุรกิจอุตสาหกรรมทั้งหลาย ว่าจะนำประเทศไทยผ่านยุคแตกแยกเสียที
ตอนแรกมาร์คก็มาแบบฟอร์มสดเหลือเกิน ชูคำขวัญและคำมั่นสัญญาสารพัด ประเภท " 99 วันทำได้จริง" บ้าง "9 กฏเหล็กรัฐบาล" บ้าง ติดตามด้วยนโยบายแข่งประชานิยมกับคู่แข่งแบบเต็มๆ
แถมยังเปิดตัวทีมเศรษฐกิจอย่างยิ่งใหญ่อลังการว่า มีนายโจเซฟ สติกลิทซ์ นักวิชาการเศรษฐศาสตร์ระดับโลก ที่ได้รางวัลโนเบลมารับรองแนวทางนโยบาย และพร้อมจะเป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจให้กับรัฐบาลมาร์คด้วย
ผ่านไป 2 ปีแล้ว....ไม่รู้ได้ปรึกษาอะไรกับสติกลิทซ์แบบไหน ถึงได้มีแต่กู้พร้อมโกงกับนโยบายทางเศรษฐกิจแบบตามไม่ทันภาคเอกชนมาตลอดเช่นนี้....ทุลักทุเลตั้งแต่เรื่องมาบตาพุดที่ยังคาราคาซังไปยันนโยบายชั่งไข่ขาย
อีกเรื่องหนึ่งที่ประจานความเป็น "ประชาธิปัตย์" อย่างล่อนจ้อน ก็คือเสียงสะท้อนถึงความใจแคบและไร้สัจจะจากปาก ของอดีตพรรคร่วมรัฐบาลเอง แรกๆที่พยายามทั้งกล่อมและบีบให้พรรคการเมืองอื่นยอม เข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลนั้น ได้ให้สัญญาสารพัดเพื่อจูงใจ โดยเฉพาะ อย่างยิ่งเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นที่ทำให้
พรรคการเมืองขนาดเล็กเสียเปรียบ
ครั้นพอทุกอย่างสำเร็จก็ตระบัดสัตย์เอาดื้อๆว่าไม่เคยสัญญา อะไรไว้ ทั้งๆที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณเคยรับรองเอาไว้อย่างแข็งขัน พอถูกรุกหนักๆเข้าก็อ้างว่านายสุเทพสัญญาไว้ก็จริง แต่นายอภิสิทธิ์ไม่ได้รับรู้อะไรด้วย แถมยังเล่นละครให้พวกวอลล์เปเปอร์ออกมาโจมตีเทพเทือก ถึงกับขู่ว่าจะปลดจากตำแหน่งเลขาฯพรรคด้วยซ้ำ จนส่วนนายเทือกก็เล่นบท "น้ำตาคลอ" ว่าถูกพรรครังเกียจ ประสานกันอย่างอย่างถึงบทบาท.
...บทเดียวกับที่ยืนน้ำตาไหลบนเวทีราชประสงค์ เมื่อไม่กี่วันนี้เอง....น่าจะได้รางวัลตุ๊กตาทองจริงๆ จึงไม่แปลกใจที่นายบรรหารแสดงท่าที "ไม่เอามาร์ค" หากประชาธิปัตย์หวังจะจัดตั้งรัฐบาลหลังวันที่ 3 กรกฎาคมนี้ ด้วยคำพูดที่ว่า "ไม่อยากทำงานกับคนไร้สัจจะ" สรุปแล้วประชาธิปัตย์ล้มเหลวและสร้างความผิดหวังให้กับทุกระดับชนชั้น ตั้งแต่กองเชียร์ของพรรค, ประชาชน (โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ) ที่เคยตั้งความหวังไว้อย่างสูง
ไปจนถึงพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหลาย เพราะความ "เขี้ยวลากดิน" ที่ไม่เคยจริงใจกับใคร จนเปลี่ยนจากรัฐบาล "เทพประทาน" ไปเป็น "เทพระอา" ทุกวันนี้ "สันดานประชาธิปัตย์" ยิ่งแสดงออกอย่างเข้มข้นในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนวันเลือกตั้งจน "กองเคยเชียร์"อิดหนาระอาใจไปอีกมากมาย เพราะเล่นบทใส่ร้ายคู่แข่งแบบหน้าด้านๆ ทั้งเปิดประเด็นเผาบ้านเผาเมืองไปจนถึงเอาการเมืองระหว่างประเทศมาใช้หาเสียงอย่างปราศจากความละอาย
แถมยังขู่ประเทศไทยด้วยอีกว่า หากปล่อยให้พรรคเพื่อไทย ได้จัดตั้งรัฐบาล "บ้านเมืองจะลุกเป็นไฟ" จุดนี้เองที่ทำให้หลายฝ่ายมองว่าเป็นฝ่ายเตรียมเผาบ้านเผาเมืองเสียเอง
เขารู้ทันกันทั้งนั้นว่าที่ทำไปทั้งหมด ก็เพราะความ "หน้ามืด" เนื่องจากหมดน้ำยาที่จะโน้มน้าวใจให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง "ส่วนใหญ่" ลงคะแนนให้อีกต่อไป จึงพยายามสร้างกระแสความเลวป้ายสีใส่คู่แข่ง....คงลืมไปแล้วว่านายโจเซฟ สติกลิทซ์ คือใคร ทั้งๆที่เคยภูมิใจนักหนาถึงขนาดนายกรณ์ตีฆ้อง ร้องป่าวโฆษณาอยู่ช่วงใหญ่
วันนี้ผมยังนั่งหัวเราะกับบทความใน "มติชน" หน้า 2 ที่ทิ้งท้าย จากกรณีที่นาย "บัน คี มูน" เรียกร้องให้ประเทศไทยมีการเลือกตั้งอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม และเคารพในเสียงของประชาชน ซึ่งอาจหมายถึงการทำให้ประชาธิปัตย์หมดสิทธิตั้งรัฐบาลว่า....
"แล้ว (รัฐบาลอภิสิทธิ์) จะนำประเทศไทยลาออกจากสหประชาชาติไหม?"
ดูเหมือนใครหลายคนจะบอกว่ามาร์คและปชป. กำลังจะเผาบ้านเผาเมืองเสียเอง
บทความจากคุณ สัมมาชน
อ่านบทความจากบางสื่อในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา.... โดยเฉพาะอย่างยิ่งมติชนวันนี้... สังเกตุเห็นว่าเริ่มมีกระแสฟันธงระบุว่าประชาธิปัตย์กำลังติดกับดัก "เผาบ้านเผาเมือง" ที่ตนเองตั้งใจสร้างขึ้นมาเพื่อดักคู่แข่งแท้ๆ
ผมย้อนนึกไปถึงช่วงแรกๆที่จัดตั้ง "รัฐบาลเทพประทาน" จำได้ว่าอภิสิทธิ์ได้ภาพของความหวังชาวกรุงเทพฯและบรรดาผู้นำภาคธุรกิจอุตสาหกรรมทั้งหลาย ว่าจะนำประเทศไทยผ่านยุคแตกแยกเสียที
ตอนแรกมาร์คก็มาแบบฟอร์มสดเหลือเกิน ชูคำขวัญและคำมั่นสัญญาสารพัด ประเภท " 99 วันทำได้จริง" บ้าง "9 กฏเหล็กรัฐบาล" บ้าง ติดตามด้วยนโยบายแข่งประชานิยมกับคู่แข่งแบบเต็มๆ
แถมยังเปิดตัวทีมเศรษฐกิจอย่างยิ่งใหญ่อลังการว่า มีนายโจเซฟ สติกลิทซ์ นักวิชาการเศรษฐศาสตร์ระดับโลก ที่ได้รางวัลโนเบลมารับรองแนวทางนโยบาย และพร้อมจะเป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจให้กับรัฐบาลมาร์คด้วย
ผ่านไป 2 ปีแล้ว....ไม่รู้ได้ปรึกษาอะไรกับสติกลิทซ์แบบไหน ถึงได้มีแต่กู้พร้อมโกงกับนโยบายทางเศรษฐกิจแบบตามไม่ทันภาคเอกชนมาตลอดเช่นนี้....ทุลักทุเลตั้งแต่เรื่องมาบตาพุดที่ยังคาราคาซังไปยันนโยบายชั่งไข่ขาย
อีกเรื่องหนึ่งที่ประจานความเป็น "ประชาธิปัตย์" อย่างล่อนจ้อน ก็คือเสียงสะท้อนถึงความใจแคบและไร้สัจจะจากปาก ของอดีตพรรคร่วมรัฐบาลเอง แรกๆที่พยายามทั้งกล่อมและบีบให้พรรคการเมืองอื่นยอม เข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลนั้น ได้ให้สัญญาสารพัดเพื่อจูงใจ โดยเฉพาะ อย่างยิ่งเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นที่ทำให้
พรรคการเมืองขนาดเล็กเสียเปรียบ
ครั้นพอทุกอย่างสำเร็จก็ตระบัดสัตย์เอาดื้อๆว่าไม่เคยสัญญา อะไรไว้ ทั้งๆที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณเคยรับรองเอาไว้อย่างแข็งขัน พอถูกรุกหนักๆเข้าก็อ้างว่านายสุเทพสัญญาไว้ก็จริง แต่นายอภิสิทธิ์ไม่ได้รับรู้อะไรด้วย แถมยังเล่นละครให้พวกวอลล์เปเปอร์ออกมาโจมตีเทพเทือก ถึงกับขู่ว่าจะปลดจากตำแหน่งเลขาฯพรรคด้วยซ้ำ จนส่วนนายเทือกก็เล่นบท "น้ำตาคลอ" ว่าถูกพรรครังเกียจ ประสานกันอย่างอย่างถึงบทบาท.
...บทเดียวกับที่ยืนน้ำตาไหลบนเวทีราชประสงค์ เมื่อไม่กี่วันนี้เอง....น่าจะได้รางวัลตุ๊กตาทองจริงๆ จึงไม่แปลกใจที่นายบรรหารแสดงท่าที "ไม่เอามาร์ค" หากประชาธิปัตย์หวังจะจัดตั้งรัฐบาลหลังวันที่ 3 กรกฎาคมนี้ ด้วยคำพูดที่ว่า "ไม่อยากทำงานกับคนไร้สัจจะ" สรุปแล้วประชาธิปัตย์ล้มเหลวและสร้างความผิดหวังให้กับทุกระดับชนชั้น ตั้งแต่กองเชียร์ของพรรค, ประชาชน (โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ) ที่เคยตั้งความหวังไว้อย่างสูง
ไปจนถึงพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหลาย เพราะความ "เขี้ยวลากดิน" ที่ไม่เคยจริงใจกับใคร จนเปลี่ยนจากรัฐบาล "เทพประทาน" ไปเป็น "เทพระอา" ทุกวันนี้ "สันดานประชาธิปัตย์" ยิ่งแสดงออกอย่างเข้มข้นในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนวันเลือกตั้งจน "กองเคยเชียร์"อิดหนาระอาใจไปอีกมากมาย เพราะเล่นบทใส่ร้ายคู่แข่งแบบหน้าด้านๆ ทั้งเปิดประเด็นเผาบ้านเผาเมืองไปจนถึงเอาการเมืองระหว่างประเทศมาใช้หาเสียงอย่างปราศจากความละอาย
แถมยังขู่ประเทศไทยด้วยอีกว่า หากปล่อยให้พรรคเพื่อไทย ได้จัดตั้งรัฐบาล "บ้านเมืองจะลุกเป็นไฟ" จุดนี้เองที่ทำให้หลายฝ่ายมองว่าเป็นฝ่ายเตรียมเผาบ้านเผาเมืองเสียเอง
เขารู้ทันกันทั้งนั้นว่าที่ทำไปทั้งหมด ก็เพราะความ "หน้ามืด" เนื่องจากหมดน้ำยาที่จะโน้มน้าวใจให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง "ส่วนใหญ่" ลงคะแนนให้อีกต่อไป จึงพยายามสร้างกระแสความเลวป้ายสีใส่คู่แข่ง....คงลืมไปแล้วว่านายโจเซฟ สติกลิทซ์ คือใคร ทั้งๆที่เคยภูมิใจนักหนาถึงขนาดนายกรณ์ตีฆ้อง ร้องป่าวโฆษณาอยู่ช่วงใหญ่
วันนี้ผมยังนั่งหัวเราะกับบทความใน "มติชน" หน้า 2 ที่ทิ้งท้าย จากกรณีที่นาย "บัน คี มูน" เรียกร้องให้ประเทศไทยมีการเลือกตั้งอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม และเคารพในเสียงของประชาชน ซึ่งอาจหมายถึงการทำให้ประชาธิปัตย์หมดสิทธิตั้งรัฐบาลว่า....
"แล้ว (รัฐบาลอภิสิทธิ์) จะนำประเทศไทยลาออกจากสหประชาชาติไหม?"
goosehhardcore- Hero gen.seh member
- จำนวนข้อความ : 6012
Join date : 12/06/2010
ที่อยู่ : Bangkok Thailand
หน้า 1 จาก 1
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ