ครม.เปิบพิสดาร แสนล้าน!

[goosehhardcore]

ครม.เปิบพิสดาร แสนล้าน!
วันศุกร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ.2554 9:48 น


อุตส่าห์พยายามซ่อนหาง หลบเขา เอาไว้ใต้เสื้อคลุมมาตลอด ระยะเวลาในการเป็นรัฐบาลช่วง 2 ปี เพื่อที่จะให้ดูว่ามีภาพลักษณ์ไม่เปรอะเปื้อน แต่ในวินาทีสุดท้ายหลังวางแผนเรื่องการยุบสภาเอาไว้ในใจแต่เพียงผู้เดียว ก็กลับเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง น่าคิดเป็นอย่างยิ่งว่า ทำไม นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีสมัยแรก ที่ยังหวังว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีต่ออีกสมัย จึงได้การ์ดตกกระทันหัน ด้วยการประชุมคณะรัฐมนตรีแบบทิ้งทวน เทกระจาดอย่างไม่น่าเชื่อ จนถูกเรียกเป็นการอนุมัติโครงการต่างๆ แบบ “เปิบพิสดาร”


ซึ่งจนวันนี้ยังคงเป็นหัวข้อสนทนาและสงสัยเป็นอย่างมากว่า อุตส่าห์รักษาฟอร์มสร้างภาพมาตั้งนาน ทำไมจึงมายอมเสียหายขนาดนี้ เพราะจากวันที่ 3 พฤษภาคม มาจนถึงวันนี้ ยังไม่มีใครในประเทศนี้ที่ชมเชยการกระทำของนายอภิสิทธิ์ กับการประชุมคณะรัฐมนตรีมาราธอน 15-16 ชั่วโมง พิจารณาเรื่องกว่า 200 วาระ แถมยังอนุมัติโครงการที่เกี่ยวข้องกับวงเงินงบประมาณกว่า 100,000 ล้านบาท


ไม่เคยมีการประชุม ครม. และการอนุมัติใดๆ ที่เทกระจาดอย่างน่าเกลียดเช่นนี้มาก่อนเลยในประวัติศาสตร์การเมืองของไทย… แต่นายอภิสิทธิ์ กล้าที่จะทำเป็นการประชุมครั้งที่ต้องใช้เวลาถึง 2 ช่วง คือ ช่วงเช้าที่อาคารรัฐสภา 3 และช่วงเย็นที่ทำเนียบรัฐบาล และได้มีมติอนุมัติงบประมาณทั้งสิ้น รวมวงเงินกว่า 100,000 ล้านบาท โดยกระทรวงที่อยู่ในการดูแลของพรรคประชาธิปัตย์ ได้รับงบประมาณไปทั้งสิ้นกว่า 28,701 ล้านบาท ขณะกระทรวงที่อยู่ในความดูแลของพรรคภูมิใจไทย ได้รับงบประมาณกว่า 46,816 ล้านบาท เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อจริงๆ


เพราะแม้แต่นายพูนทรัพย์ ปิยะอนันต์ อดีต ผอ. สำนักงบประมาณ ยังยอมรับว่า รู้สึกตกใจที่เห็นคณะรัฐมนตรีอนุมัติงบประมาณแสนล้าน ในเวลา 15 ชั่วโมง ซึ่งตั้งแต่ทำงานสำนักงบฯ มา ก็ไม่เคยเห็นแบบนี้ ถือว่าเป็นประวัติศาสตร์การยัดวาระเข้ามาทีเดียวนับร้อย แล้วพิจารณากันแบบจานด่วน สะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลไม่มีแผนการใช้งบประมาณที่ดีพอ


“ถามว่าโครงการต่างๆ เร่งด่วนขนาดไหนถึงต้องรีบร้อนอนุมัติ ถ้าเป็นภัยธรรมชาติ หรือสงคราม ก็พออนุโลม แต่การเช่ารถตรวจการณ์ของกระทรวงมหาดไทย 22 ล้านบาท ถามว่าสำคัญขนาดไหน มีการวางแผนการใช้งบประมาณกันบ้างหรือไม่ ถ้าวางแผนดีจะไม่มีทางมีจานด่วน โดยเฉพาะเรื่องที่จะก่อหนี้ผูกพันในอนาคตเป็นภาระให้กับรัฐบาลหน้า หรือเรื่องใหญ่ๆ ที่ต้องใช้งบประมาณกว่า 1.5 หมื่นล้าน อย่างแผนการปฏิรูปการศึกษา มีการพิจารณากันรอบด้านก่อนจะอนุมัติหรือไม่”


(มีต่อ)

[goosehhardcore]

นายพูนทรัพย์ ตั้งข้อสังเกตด้วยว่า การพิจารณา 200 วาระกันแบบทั้งวันทั้งคืน ไม่มีมนุษย์คนไหนทำได้ สมัยที่เป็น ผอ. สำนักงบฯ เรื่องที่ได้เข้า ครม. ต้องสำคัญที่สุด และต้องกลั่นกรองก่อนเป็นสัปดาห์ น่าเห็นใจข้าราชการประจำ เพราะเขาต้องรับผิดชอบจะทำอย่างลวกๆ ไม่ได้ ที่สำคัญ จากที่ได้ไปดูงานมาหลายประเทศ ที่ประชุม ครม.ประเทศอื่นไม่จำเป็นต้องมีทุกสัปดาห์ แต่จะใช้เป็นที่ถกเถียงเพื่อแก้ไขปัญหาประเทศ มีแต่ประเทศไทยที่การประชุม ครม.มีแต่ขอเงิน


“การแก้ปัญหา ครม. จานด่วน คือ ต้องแก้ พ.ร.บ. วิธีการใช้งบประมาณ ให้รัฐต้องวางแผนการใช้งบประมาณล่วงหน้า เหมือนในหลายประเทศเมื่อรัฐบาลเข้ามาก็จะประกาศว่าจะมีแผนอย่างไร ใช้งบประมาณเท่าไหร่ จากนั้นก็เดินตามแผน ไม่มีการยัดจานด่วนเข้ามาระหว่างทาง นอกจากประเทศประสบภาวะวิกฤติเท่านั้น ซึ่งในความจริงแล้ว หากเกิดวิกฤติภัยธรรมชาติหรือสงคราม เราก็มีงบกลางใช้ได้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมาเสนอโครงการกันแบบนี้” อดีต ผอ. สำนักงบประมาณ กล่าว


ตอกย้ำชัดๆ อีกดอกด้วยมุมมองของ นายบดี จุณณานนท์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงบประมาณอีกคนหนึ่ง ที่มองแบบตีแสกหน้าตรงๆ เลยว่า ไม่ใช่รัฐบาลจะไปเลือกตั้งแล้วมาเอาเงินจากงบกลางรายการสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินไปใช้โดยไม่สมควร ที่สำคัญ โดยมารยาททางการเมืองแล้วไม่ควรทำ เพราะตามปกติแล้ว งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินและจำเป็นเร่งด่วนปกติ จะเป็นงบที่ตั้งไว้สำหรับเรื่องจำเป็นฉุกเฉิน รัฐบาลที่รู้ตัวเองว่าจะหมดอายุควรดำเนินการอนุมัติงบประมาณในส่วนนี้เท่าที่จำเป็น ไม่ใช่หาเรื่องใหม่มาใช้งบในส่วนนี้จนหมด แต่งบในรายการนี้ต้องใช้ไปถึงสิ้นเดือน ก.ย. 2554 ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาได้


นอกจากนี้การอนุมัติงบเพื่อใช้สำหรับการจ่ายค่าตอบแทนหรือสวัสดิการให้แก่กลุ่มบุคคลต่างๆ อาจถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการอนุมัติเพื่อต้องการเสียงสนับสนุน ทั้งที่ค่าใช้จ่ายในเรื่องสวัสดิการนั้น รัฐบาลควรกำหนดเป็นนโยบาย แล้วตั้งเป็นงบปกติให้แก่หน่วยงานที่รับผิดชอบมาดำเนินการ แม้แต่คนที่เคยเชียร์พรรคประชาธิปัตย์มาโดยตลอด อย่างดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มาเจอการเทกระจาดเปิบพิสดารเที่ยวนี้ ก็ยังเชียร์ไม่ออก


โดยระบุว่า การประชุม ครม. เมื่อวันที่ 3 พ.ค.นั้นเป็นลักษณะของการอนุมัติงบประมาณในแบบทิ้งทวน!! ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติที่รัฐบาลต้องจัดสรรแบ่งงบประมาณกันก่อนการยุบสภา แต่ถ้ามองถึงบางโครงการที่ยังไม่จำเป็นต้องเร่งพิจารณา โดยเฉพาะโครงการที่ไม่มีประโยชน์แล้วปล่อยให้ผ่านฉลุย อย่างนี้ต้องเรียกว่า ทิ้ง “ปืนใหญ่” ยิ่งในภาคธุรกิจ ต่างอ้าปากค้างกับการประชุมบ้าเลือดกันเป็นแถว ว่าแบบนี้แล้วความรอบคอบในการพิจารณาข้อมูลของแต่ละโครงการที่ ครม. ได้อนุมัติจะอยู่ตรงไหน เพราะระยะเวลาที่ประชุมกับวาระที่พิจารณา เท่ากับว่าพิจารณาเรื่องละ 3-5 นาที เท่านั้นเอง ซึ่งไม่แน่ใจว่า ระยะเวลาที่ใช้พิจารณาโครงการบางโครงการน้อยไปหรือไม่ เท่ากับว่าหลายๆ โครงการอาจจะไม่ได้ดูข้อมูล แต่ตัดสินใจอนุมัติไปเลยก็เป็นได้ ทั้งๆ ที่เป็นการใช้เงินงบประมาณจำนวนมหาศาลในอนาคต


(มีต่อ)

[goosehhardcore]

ซึ่งหลังจากที่สร้างความสยดสยองให้กับสังคมไทยแล้ว ทางนายอภิสิทธิ์ และรัฐบาลพยายามที่จะแก้ต่างสารพัด ว่า จริงๆ แล้วไม่ใช่การอนุมัติเงินงบประมาณเป็นแสนล้านบาท อ้างว่าเป็นความเข้าใจผิดของสื่อมวลชน ขณะเดียวกันก็อ้างว่า เป็นเรื่องสืบเนื่องบ้าง เป็นงบผูกพันบ้าง รวมไปกระทั่งถึงว่าจำเป็นต้องพิจารณาเพราะเป็นเรื่องเร่งด่วน หากรอรัฐบาลหน้ามาอนุมัติจะไม่ทัน ซึ่งล้วนแล้วแต่ฟังไม่ขึ้น


เพราะหากดูเนื้อในของโครงการต่างๆ ที่อนุมัติ จะพบว่าเป็นคนละเรื่องเลยกับข้ออ้าง อย่างการอนุมัติโครงการพัฒนาระบบสายส่งและสถานีไฟฟ้าระยะที่ 9 ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เป็นเงิน 31,170 ล้านบาท ที่เสนอผ่านกระทรวงมหาดไทยนั้น เร่งด่วนจนรอรัฐบาลหน้าไม่ได้จริงๆ หรือ??? เช่นเดียวกับการอนุมัติโครงการจัดหาหัวรถจักรและล้อเลื่อนตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ เป็นเงิน 14,000 ล้านบาท เรื่องแบบนี้ทำไมจึงรอรัฐบาลหน้าไม่ได้หรือที่รอไม่ได้เป็นเพราะว่า นี่คือ การเสนอเข้ามาของพรรคภูมิใจไทย ซึ่งมีสัญญาใจอะไรต่อกันไว้หรือไม่


ดังนั้น จึงไม่แปลกสำหรับโครงการเช่ารถเมล์โคตรแพงของภูมิใจไทย ซึ่งค้างคามาตั้งแต่รัฐบาลก่อน และช่วง 2 ปีของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ก็ดึงเกมเอาไว้ตลอดไม่ยอมให้ทำ แต่จู่ๆ กลับมามุบมิบอนุมัติในครั้งนี้ โดยมีวาระกลบเกลื่อนความสนใจเป็นร้อยๆ วาระปล่อยผีกันเป็นกรณีพิเศษ ว่าเป็นโครงการจัดหารถโดยสารรุ่นใหม่สำหรับบริการเชิงพาณิชย์ 115 คัน วงเงิน 4,981.05 ล้านบาท ยิ่งงบประมาณที่ให้กับกองทัพ งบประมาณซื้อรถถังยูเครน ล้านบาทมองอย่างไรก็เป็นเรื่องไม่เหมาะไม่ควร ที่จะมาอนุมัติกันอย่างเร่งด่วนวินาทีสุดท้ายของรัฐบาล ของครม. ชุดนี้เช่นนี้


หรือการอนุมัติค่าตอบแทนให้กับกำลังพลของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน เป็นเงิน 293 ล้านบาท ตามที่ กอ.รมน. เสนอขอมา ก็เป็นเรื่องที่เป็นประเด็นตลกที่สุดก็คือ เรื่องข้ออ้างที่ว่าสาเหตุที่ต้องอนุมัติเร่งด่วน ก็เพราะพิจารณาเรื่องการช่วยเหลือเกี่ยวกับผู้ประสบภัยน้ำท่วม ซึ่งใครฟังก็ต้องบอกว่าเป็นการสมควร แต่หากรู้ว่าการอนุมัติโครงการจ้างงานเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ เป็นเงินแค่ 96 ล้านบาทเท่านั้น น้อยมากเมื่อเทียบกับภาพรวมในการเทกระจาดเป็นแสนล้านบาท


เพราะแค่เทียบกับการอนุมัติโครงการก่อสร้างพิพิธภัณฑ์ ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอมาก็เป็นเงิน 1,800 ล้านบาทแล้ว หรือแค่โครงการเช่ารถยนต์ของกรมพัฒนาชุมชน แบ่งเป็น รถยนต์ดีเซลขับเคลื่อน 2 ล้อ 236 คัน ขับเคลื่อน 4 ล้อ 14 คัน และรถยนต์ประจำตำแหน่งอธิบดีและรองอธิบดี อย่างละ 1 คัน รวมเป็นเงิน 152 ล้านบาท กับโครงการเช่ารถยนต์ตรวจการณ์ขับเคลื่อน 4 ล้อ จำนวน 18 คัน ด้วยวิธีการเช่าเป็นเวลา 3 ปีตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ รวมเป็นเงิน 22 ล้านบาท เช่ารถ 2 รายการของกระทรวงมหาดไทย รวมกันแล้ว 174 ล้านบาท ค่าช่วยคนเดือดร้อนน้ำท่วมก็กระจิ๋วหลิวเต็มทีแล้ว และเป็นคำถามว่า นี่หรือคือ เรื่องเร่งด่วน!!!


ที่สำคัญ เรื่องนี้นายอภิสิทธิ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี จะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้เลย เพราะตามระเบียบในการประชุมวาระจรไม่ควรที่จะมากกว่าวาระปกติ เนื่องจากวาระปกติจะต้องมีการทำเอกสารประกอบการพิจารณาให้กับรัฐมนตรีไปศึกษาก่อน โดยปกติจะส่งให้ในวันพฤหัสบดี เพื่อที่จะไปประชุม ครม. ในวันอังคารถัดไป เพื่อการพิจารณาที่รอบคอบ ซึ่งในการประชุมแบบบ้าเลือด 200 กว่าวาระเช่นนี้อย่างไรก็ไม่รอบคอบ และที่ว่านายอภิสิทธิ์ จะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ ก็เพราะกรณีวาระปกติทางสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะเป็นคนพิจารณากลั่นกรองเพื่อส่งเข้าที่ประชุม ครม. แต่สำหรับวาระจร จะเอาเข้ามาพิจารณาในที่ประชุม ครม. ได้ นายกรัฐมนตรีจะต้องอนุมัติก่อนเท่านั้น ถึงจะประชุมได้ ถ้าไม่อนุมัติ เรื่องก็ต้องตกไป


เรื่องนี้ นายอภิสิทธิ์ ย่อมรู้ดี และสามารถตรวจสอบกับนายวิษณุ เครืองามเจ้าของฉายา “เนติบริกร” ผู้รัดกุมที่สุดผู้หนึ่งดูได้ ดังนั้นวาระจรทั้งหมดในวันที่ 3พฤษภาคม จึงเท่ากับว่านายอภิสิทธิ์ อนุมัติให้เอาเรื่องเข้ามาพิจารณาได้ และเท่ากับว่านายอภิสิทธิ์ รู้เห็นเป็นใจและยินยอมที่จะให้วาระจรเหล่านั้นทะลักทลายเข้ามา รัฐมนตรีอื่นๆ ในวันนั้น จึงไม่รู้เรื่องมาก่อนว่า กระทรวงไหนใครจะขออะไรบ้าง เป็นเหมือนการมาหักคอของบขอเงินกันง่ายๆ โครงการละ 3-5 นาทีนั้นเอง แล้วพฤติกรรมเช่นนี้ ควรที่จะปล่อยให้เกิดซ้ำหรือไม่ ควรที่จะให้กลับมาเป็นรัฐบาลกันอีกหรือไม่? ประชาชนคนไทยผู้เสียภาษีทุกคนนั่นแหละ ที่ต้องคิดให้หนัก
http://www.bangkok-today.com/node/8900

[goosehhardcore]

2ปีที่ล้มเหลว


โดนวิพากษ์วิจารณ์กระหึ่ม (อีกแล้ว) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ออกทีวีเมื่อค่ำวันที่ 9 พ.ค.ที่ผ่านมา ตามคิวคือการแถลงยุบสภาอย่างเป็นทางการ หลังมีพระ บรมราชโองการโปรดเกล้าฯพ.ร.ฎ.ยุบสภาแล้ว ซึ่งนายอภิสิทธิ์ก็แถลงยุบสภาจริงๆ แต่พอนั่งฟังเนื้อหาทั้งหมดเกือบครึ่งชั่วโมงถึงกับอึ้ง เพราะนายอภิสิทธิ์สอดไส้หาเสียงดื้อๆ ประกาศลั่นถ้าได้รับเลือกตั้งกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง


จะแก้ปัญหาค่าครองชีพ, เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ, แก้ปัญหาด้านการศึกษา, แก้ปัญหายาเสพติด และแก้ปัญหาชายแดนไทย-เขมร พอฟังถึงตอนนี้ก็ต้องฉุกคิดทันทีว่า ทำไมต้องรอให้พรรคประชาธิปัตย์กลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้งถึงจะแก้ปัญหาเหล่านี้ แล้วที่ผ่านมา 2 ปีเศษๆ รัฐบาลนายอภิสิทธิ์มัวไปทำอะไรอยู่ !? เรื่องค่าครองชีพล้มเหลว เพราะปัญหาข้าวยากหมากแพง ที่รัฐบาลนี้แก้ไม่ตกจริงๆ น้ำมันปาล์ม ไข่ เนื้อหมูขึ้นราคา น้ำมันเบนซินขึ้นพรวดๆอยู่ทุกวันนี้


ไม่เห็นรัฐบาลแก้อะไรได้เลย เรื่องการศึกษาก็ยังเป็นปัญหา ต้องย้อนถามว่านโยบาย "99 วันทำได้จริง" ของพรรคประชาธิปัตย์เมื่อ 2 ปีก่อน มัน "ทำได้จริง" จริงๆ เหรอ !? ปัญหายาเสพติดก็เช่นกัน ตลอด 2 ปีเศษไม่เห็นทำอะไรที่เป็นรูปธรรม ปล่อยให้ยาบ้าระบาดเป็นประวัติการณ์ พอเกิดคดีหนุ่มคลั่งยาบ้าไล่ฆ่า 2 ศพกลางกรุงก็ถึงนึกได้ โหมนโยบายปราบยาเสพติดกันยกใหญ่ ต้องบอกว่า มันคงช้าเกินไปแล้ว !

สุดท้ายเรื่องชายแดนไทย-เขมร เป็นปัญหาตั้งแต่เริ่มรัฐบาล เพราะดันแต่งตั้ง นายกษิต ภิรมย์ เป็นรมว.ต่างประเทศ และลุกลามใหญ่โตขึ้นจากกรณี ส.ส.พนิช วิกิตเศรษฐ์ เดินไปให้จับ กับวาทะ "อย่าไปบอกใครนะ นายกฯรู้คนเดียว" ทุกวันนี้ทหารไทย-เขมรก็ปะทะกันจนล้มตายไปไม่รู้เท่าไหร่ ความสูญเสียเกิดขึ้นมหาศาล ความจริงมีทางออก แค่นายกฯไทยยกหูเคลียร์กับนายกฯเขมรเท่านั้นก็จบ


แต่ที่ไม่จบก็เพราะอะไร ก็เพราะไม่ยอมคุย แล้วยังกล้าให้ความหวังกับคนไทยตามชายแดนอีกหรือ ถ้าได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง จะแก้ปัญหาชายแดนลุล่วง เห็นแล้วแทบหมดหวัง นายอภิสิทธิ์ขายฝันหาเสียง หวังได้กลับมาเป็นนายกฯอีกรอบ แต่ลืมมองไปว่าไอ้ที่หาเสียงไปทั้งหมด เป็นดินพอกหางหมู ล้วนเป็นผลพวงจากการบริหารประเทศของรัฐบาลประชาธิปัตย์ทั้งสิ้น


ยิ่งตอกย้ำเรื่อง "ดีแต่พูด" เข้าไปอีก



Ref: คอลัมน์ เหล็กใน สมิงสามผลัด: ข่าวสดรายวัน หน้า 6 วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7470
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd2Iyd3dNakV6TURVMU5BPT0=

[lucky m.]

เมื่อลากตั้งสมัยก่อน นโยบาย ทำได้ใน 90 วัน เกินไป1 ตาย 91 ศพ มาคราวนี้ เก่งจัด ทำได้ ใน... (จำไม่ได้อะ) เร็วกว่าเก่าอีก คงหมายถึง จะปราบแดงให้ได้เร็วกว่าเก่าว่างั๊นเหอะ

[นักรบภูเขา]

ก็คงจะอึ้งกันทั้งประเทศวันเดียวจ่ายงบ4ooวาระ ผ่านแบบง่ายดายโดยเฉพาะงบอัดฉีดกองทัพ กะเตรียมตัวทำลายล้างอย่างเต้มที่