ม็อบสามเสน & เดอะแก๊งค์ ตลก >> "ศาลสั่งใคร?"

[goosehhardcore]

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ  ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์  พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร  แกนนำกลุ่มไทยสปริง  นางกัลยา โสภณพานิช นางศิริวรรณ ปราศจากศัตรู ขึ้นเวทีปราศรัย เพื่อคัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมของพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.)   ที่หน้าร้านอาหารชูจันทร์  บริเวณถนนเศรษฐศิริ  ตัดกับถนนกำแพงเพชร 5 โดยมีการปิดถนนตั้งแต่ปากซอยหน้าที่ทำการ ปชป. จนถึงทางตัดรางรถไฟก่อนถึงสถานีรถไฟสามเสน   ท่ามกลางประชาชนที่ทยอยเข้าร่วมชุมนุมต่อเนื่อง เมื่อเย็นวันที่ 31 ตุลาคม
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1383224311&grpid=&catid=01&subcatid=0100




ตร.ประเมินม็อบสามเสน2,000คนคาดอยู่ยาว1สัปดาห์




"เทพเทือก" ลั่นสู้จนชนะ เทหมดหน้าตัก เตือนรัฐบาลเลิกข่มขู่ ปชช. ตั้งเป้าขอพรุ่งนี้ชุมนุมให้ได้ 1 แสน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 18.45 น. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.)  ขึ้นปราศรับบนเวทีการชุมนุม “หยุดกฎหมายล้างผิด” เพื่อคัดค้านพ.ร.บ.นิรโทษกรรม  โดยได้อ่านแถลงการณ์ในนามกลุ่มสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ได้แถลงข่าวไปเมื่อวันที่ 30 ตุลาคมที่ผ่านมาที่รัฐสภา ทั้งนี้ยังได้มีการอ่านแถลงการณ์เป็นภาษาอังกฤษโดยหม่อมหลวงอภิมงคล โสณกุล และนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ส.ส.กทม. ปชป.และ เพื่อประกาศให้คนทั่วโลกได้รับรู้และเข้าใจในการต่อสู้ของประชาชนคนไทยในครั้งนี้ โดยนายสุเทพ กล่าวว่า ขณะนี้แกนนำหารือกันแล้วยืนยันว่าจะต่อสู้คัดค้านร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ จนถึงที่สุดจนกว่าจะชนะ หากไม่ชนะก็ไม่เลิก และขอให้ประชาชนทั่วประเทศลุกขึ้นมาร่วมกันต่อสู้ คนที่อยู่ต่างจังหวัดให้นั่งรถไฟฟรีมาลงที่สถานีรถไฟสามเสน หรือให้ไปชุมนุมที่หน้าศาลากลางจังหวัด ซึ่งการที่ตนต้องประกาศเป็นแกนนำ เพราะรัฐบาลกำลังหาจำเลย จึงขอประกาศว่าจะสู้ด้วยชีวิตเทหมดหน้าตัก ต่อสู้เคียงข้างประชาชนทุกคืนทุกวันจนกว่าจะชนะ

นายสุเทพ กล่าวอีกว่า ขอเตือนรัฐบาลว่าให้เลิกคุกคามข่มขู่ผู้จะเข้าร่วมชุมนุม เนื่องจากเป็นการชุมนุมตามรัฐธรรมนูญ สันติ อหิงสา สงบ  ปราศจากอาวุธ และอย่าข่มขู่เรื่องมือที่สาม และหากตนจะขอรับผิดชอบในพี่น้องประชาชนทุกประการในการชุมนุมครั้งนี้ หากใครทำร้ายประชาชนคนนั้นต้องรับผิดชอบและถ้ามีผู้ชุมนุมบาดเจ็บ ล้มตายแม้แต่คนเดียว คนในครอบครัวของรัฐมนตรีจะไม่มีใครปลอดภัยและอยู่ประเทศไทยไม่ได้อีกต่อไป นอกจากนี้ในการประชุมสภาฯพิจารณาพ.ร.บ.นิรโทษกรรม รัฐบาลและเสียงข้างมากไม่ยอมให้มีการถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์ช่อง11 จึงขอประกาศกับประชาชนที่มาร่วมชุมนุมว่าตนจะถ่ายวีดิโอแล้วนำมาเปิดให้พี่น้องประชาชนได้เห็นว่า พวกตนทำหน้าที่คัดค้านกฎหมายนี้ในสภาอย่างไรบ้าง ซึ่งวันนี้ตนคาดว่ามีผู้ร่วมชุมนุมประมาณ 5 หมื่นคน ดังนั้นในวันพรุ่งนี้ ขอให้ได้ 1 แสนคน และวันต่อมาตนอยากให้ได้ถึงล้านคน
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1383225725&grpid=&catid=01&subcatid=0100

[goosehhardcore]

"เทพเทือก" นำทีมขึ้นเวทีต้านร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม มวลชนจำนวนมากแห่ฟัง
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1383224311&grpid=02&catid=&subcatid=

[goosehhardcore]

Go6 TV : Community Page >>
จากการที่ได้อ่านทบทวนรัฐธรรมนูญมาตรา 68 อย่างพินิจพิเคราะห์แล้ว ขอเสนอความเห็นดังต่อไปนี้

1. ขอยืนยันว่าศาลรัฐธรรมนูญ ไม่มีอำนาจพิจารณาว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่
2. ถึงแม้ศาลรัฐธรรมนูญได้รับคำร้องไว้พิจารณาและในวันที 20 พ.ย. 56 นี้วินิจฉัยไปว่า การแก้รัฐธรรมนูญเกี่ยวกับที่มาของส.ว.ลากตั้งไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญก็ตาม ศาลรัฐธรรมนูญก็มีอำนาจสั่งได้ 2 อย่างเท่านั้น คือ

(1) สั่งให้หยุดการกระทำดังกล่าว (การแก้ไขรัฐธรรมนูญ) ซึ่งสั่งไม่ได้แล้ว เพราะร่างแก้ไข นายกฯนำขึ้นทูลเกล้าถวายเพื่อลงพระปรมาภิไธยไปแล้ว
(2) สั่งยุบพรรคการเมืองที่เสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ และตัดสิทธิหัวหน้าพรรคการเมืองและกรรมการบริหารพรรคการเมืองนั้นเป็นเวลา 5 ปี แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่า การเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญคราวนี้เป็นกรณีที่ ส.ส.และส.ว.ใช้สิทธิตามรธน.มาตรา 291เข้าชื่อกันเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในฐานะสมาชิกรัฐสภาของตนเอง ไม่ได้เสนอขอแก้ไขในนามของพรรคที่ตนสังกัด

[goosehhardcore]

(Cr.pages: ปรเวส ปรเวส)

[goosehhardcore]

(Cr.pages : ใหญ่ บ้านม่วง via Nc Nunnapat )

[goosehhardcore]

(Cr.pages: Sakchai Phoprasat)

[goosehhardcore]

ศาลสั่งใคร?
 
ท่ามกลางเสียงไชโยโห่ร้องของพวก 40 สว. ปชป. และสลิ่มราชดำเนิน คนชั้นกลางชาวกรุงผู้ปลื้มปิติกับ “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ที่แปลว่าชาตินี้ทั้งชาติ ประชาชนไทยไม่มีสิทธิเลือกตั้งวุฒิสมาชิก ต้องให้พวกตุลาการลากตั้งให้ชั่วกัลปาวสาน

คำวินิจฉัยของศาล นอกจากตีความเอาถูๆ ว่าการยกเลิก สว.สรรหาเท่ากับล้มล้างการปกครอง ยังมีจุดอ่อนช่องโหว่มากมาย ซึ่งแสดงให้เห็นทัศนะที่ไม่เป็นประชาธิปไตย และแสดงให้เห็นว่า เอาเข้าจริงศาลก็ไม่มีอำนาจวินิจฉัยหรือยับยั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเด็นที่เป็นปัญหาที่สุดคือ ศาลไม่ได้มีคำสั่งอะไรเลย นอกจากออกความเห็นว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ชอบด้วยมาตรา 291 และผิดมาตรา 68

มาตรา 68 วรรคสอง บัญญัติว่า “ในกรณีที่บุคคลหรือพรรคการเมืองใดกระทำการตามวรรคหนึ่ง ผู้ทราบการกระทำดังกล่าวย่อมมีสิทธิเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริงและยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าว”

คำถามคือ ศาลรัฐธรรมนูญสั่งใครให้เลิกการกระทำดังกล่าว

ศาลสั่งใครให้ยกเลิกการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในเมื่อรัฐสภาลงมติรับร่างวาระ 3 ตามมาตรา 291 ไปแล้ว และนายกรัฐมนตรีก็นำขึ้นทูลเกล้าฯ ตามมาตรา 291(7) ไปแล้ว

โดยตอนที่ศาลรับคำร้องตามมาตรา 68 ก็ไม่ได้สั่งยับยั้ง ไม่ได้ห้ามรัฐสภาลงมติวาระ 3 และเมื่อนายกฯ นำขึ้นทูลเกล้าฯ พวก ปชป.40 สว.ยื่นคำร้องให้ตีความตามมาตรา 154 ว่าศาลมีอำนาจยับยั้งการทูลเกล้าฯ หรือไม่ ศาลก็ไม่รับ

คำวินิจฉัยครั้งนี้ แทนที่จะออกคำสั่งให้นายกรัฐมนตรีไปนำร่างฯ กลับมาจากการทูลเกล้าฯ ศาลก็ไม่สั่ง เพราะอะไร เพราะศาลรู้ว่าสั่งไม่ได้ ไม่มีบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญให้นายกรัฐมนตรีถอนร่าง หรือให้รัฐสภาถอนร่าง

กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งหมดเสร็จสมบูรณ์แล้ว พ้นจากรัฐสภา พ้นจากนายกรัฐมนตรีไปแล้ว เหลือแต่ขั้นตอนที่พระมหากษัตริย์จะทรงลงพระปรมาภิไธยหรือไม่

ฉะนั้นถ้าศาลจะสั่ง ก็เหลือแต่สั่งพระมหากษัตริย์ให้ไม่ทรงลงพระปรมาภิไธย ถามว่าศาลมีอำนาจหรือ ถามว่าศาลบังอาจหรือ

พระมหากษัตริย์อาจทรงลงพระปรมาภิไธย หรือไม่ทรงลงพระปรมาภิไธย ก็เป็นไปตามพระบรมราชวินิจฉัย ไม่ได้เกี่ยวกับคำวินิจฉัยของศาล

สมมตินะ สมมติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธย การแก้ไขรัฐธรรมนูญให้วุฒิสภามาจากการเลือกตั้งย่อมมีผลสมบูรณ์ใช่หรือไม่ แปลว่าคำวินิจฉัยของศาลไม่มีผลอะไรเลย เป็นแค่การแสดงความเห็นไปเปล่าๆ คำวินิจฉัยของศาลไม่ได้ทำให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญตกไป แต่หากไม่ทรงลงพระปรมาภิไธย ก็เป็นการที่พระองค์ท่านใช้อำนาจ Veto ตามมาตรา 151 ไม่ได้เกี่ยวกับศาลเช่นกัน

ฉะนั้น จึงเห็นชัดเจนว่าคำวินิจฉัยของศาลไม่มีผลบังคับทางกฎหมาย เป็นเพียงการแสดงความเห็นของตุลาการ 9 คน ที่สั่งใครไม่ได้ และไม่ได้สั่งใคร

เพียงแต่เป็นความเห็นที่อาจส่งผลให้พระมหากษัตริย์ทรงลำบากพระทัย ในการใช้พระบรมราชวินิจฉัยว่าจะทรงลงพระปรมาภิไธยหรือไม่ ในท้ายที่สุด หากไม่ทรงลงพระปรมาภิไธย เพราะเกิดความขัดแย้งระหว่างองค์กร ก็เป็นไปตามมาตรา 151 ไม่ใช่มาตรา 68 อยู่ดี

ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้สะท้อนว่าศาลไม่มีอำนาจยับยั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามมาตรา 291 แต่เมื่อศาลตีความขยายอำนาจตัวเองโดยอ้างมาตรา 68 ก็ทำให้เกิดความยุ่งเหยิง โดยที่ตัวเองก็ไม่สามารถสั่งระงับกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้

ยกตัวอย่าง ถ้ารัฐสภาเดินหน้าลงมติแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราต่อไป ซึ่งขณะนี้ก็ลงมติแก้ไขมาตรา 190 ในวาระที่ 3 ไปแล้ว ศาลรับคำร้องตามมาตรา 68 แต่ไม่ได้ยับยั้งการลงมติ ถ้านายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าฯ แล้วมีใครไปร้องตามมาตรา 154 ศาลก็เคยวินิจฉัยแล้วว่าไม่รับ ฉะนั้น ถ้านายกรัฐมนตรีทูลเกล้าฯ แล้วศาลวินิจฉัยว่าผิดมาตรา 68 ก็จะเป็นปัญหาซ้ำรอยอีกว่า ศาลสั่งใคร

เช่นกัน ถ้ารัฐสภาเดินหน้าแก้มาตรา 68 ศาลก็ไม่สามารถยับยั้งการลงมติ ไม่สามารถยับยั้งการทูลเกล้าฯ ไม่มีอำนาจที่จะไปยับยั้งพระมหากษัตริย์ลงพระปรมาภิไธย

คำวินิจฉัยของศาลจึงไม่มีผลทางกฎหมาย แต่กลายเป็นอาวุธทางการเมืองให้ฝ่ายตรงข้ามเอามาไล่รัฐบาล เช่นที่แก๊ง 40 สว.กับ ปชป.เอามาโจมตีทันทีว่านายกฯ ทูลเกล้าร่างรัฐธรรมนูญที่มีปัญหา ระคายเคืองเบื้องยุคลบาท

ต้องย้อนว่า ถ้าเห็นว่าร่างรัฐธรรมนูญมีปัญหา เหตุใดศาลจึงไม่สั่งยับยั้งการลงมติวาระ 3 เหตุใดศาลจึงไม่สั่งห้ามนายกฯ ทูลเกล้า เหตุใด ศาลจึงไม่สั่งให้นายกฯ ถอนร่างคืน ใครกันแน่ ทำให้ระคายเคืองเบื้องยุคลบาท ใครกันแน่ ทำให้ต้องทรงตัดสินพระทัยว่าจะทรงลงพระปรมาภิไธยหรือไม่ ทั้งที่สถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ควรต้องมาตัดสินปัญหาการเมืองเรื่องนี้เลย

อย่าอ้างว่าศาลต้องรอให้ร่างฯ ผ่านวาระ 3 ก่อน เพราะการวินิจฉัยว่าแก้รัฐธรรมนูญยกเลิก สว.ลากตั้งไม่ได้นั้น เห็นกันชัดเจนตั้งแต่ขั้นรับหลักการแล้ว


กระบวนการโรยหน้า

คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญฉวยกระแสต้านความไม่ชอบธรรมของพรรคเพื่อไทยในการแก้ไขร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมไปตีกิน อ้างว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ชอบด้วยมาตรา 291 ทั้งที่เป็นคนละเรื่องกัน ประเด็นต่างกัน แล้วศาลก็เอาประเด็นกระบวนการมากลบเนื้อหา ที่วินิจฉัยในประเด็นที่ 2 ห้ามแก้ไขรัฐธรรมนูญให้วุฒิสภามาจากการเลือกตั้ง

ประเด็นที่ 1 กระบวนการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญมีลักษณะเป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ หรือไม่

ศาลอ้างสาเหตุ 3 ข้อด้วยกันคือ อ้างว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่ยื่นให้สภา ไม่ตรงกับฉบับที่รับหลักการ มีการพิมพ์ข้อความขึ้นใหม่ ขอถามย้อนว่า “ฉบับที่รับหลักการ” ได้ผ่านการอภิปรายของสมาชิกรัฐสภาหรือไม่

ฉบับที่ยื่นครั้งแรก ถ้าไม่ตรงกับฉบับที่ใช้อภิปราย ก็ไม่ใช่สาระสำคัญของกระบวนการพิจารณากฎหมาย เพราะสาระสำคัญอยู่ที่ฉบับที่ใช้อภิปรายและรับหลักการ กระทั่งนำไปแปรญัตติ ซึ่งสมาชิกทุกคนได้รับรู้ ไม่มีใครถูกปกปิด ตลอดวาระแรก วาระ 2 และวาระ 3 ไม่ใช่การยัดไส้ เพราะ ส.ส. ส.ว.ทุกคนรับรู้ร่วมกัน

ข้อสอง ศาลอ้างว่ามีการตัดสิทธิผู้อภิปรายและผู้สงวนคำแปรญัตติ 57 คน ถามว่าศาลจะตั้งมาตรฐานใหม่ให้ประธานรัฐสภาต้องยอมให้อภิปรายถ้วนทั่วทุกตัวคนหรือ ตั้งมาตรฐานใหม่ให้ตีรวนลากยาวได้หรือ แล้วอะไรคืออำนาจวินิจฉัยของประธานรัฐสภา หรือเป็นแค่เจว็ด แล้วถ้าอภิปรายครบ 57 คนจะมีผลเปลี่ยนแปลงการลงมติหรือไม่

ข้อสาม ศาลอ้างว่ามีการเสียบบัตรแทนกัน เลอะเทะ เหลวไหล การเสียบบัตรแทนกันเป็นความผิดเฉพาะบุคคล ไม่ได้ส่งผลต่อการลงมติของสมาชิกรัฐสภาทั้งหมด ถ้ามีคนเสียบบัตรแทนกัน 3 คน ก็ตัด 3 เสียงนั้นออกไป 3 คนนั้นมีความผิด ต้องยื่น ปปช.ต้องยื่นถอดถอน แต่ไม่ได้ทำให้ตัวกฎหมายเป็นโมฆะ

ตกลงจะกลับไปรื้อกฎหมายทุกฉบับที่สงสัยว่ามีการเสียบบัตรแทนกัน มาวินิจฉัยใหม่ให้เป็นโมฆะไหมครับ

ศาลอ้างปัญหากระบวนการ ทั้ง 3 ข้อที่เป็นเรื่องปลีกย่อย ไม่ใช่สาระสำคัญ ของกระบวนการออกกฎหมาย มากลับประเด็นที่ 2 ซึ่งเป็นประเด็นเนื้อหา ที่เอาข้างเข้าถูอย่างตาใส อ้างไปได้ว่าการยกเลิก ส.ว.ลากตั้งขัดรัฐธรรมนูญ 2550

ผมไม่รู้จะวิจารณ์ประเด็นนี้อย่างไร เพราะเป็นข้ออ้างที่เหลวไหลเลอะเทอะ ไร้เหตุผลที่สุด ที่ว่าการปกครอง “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ต้องมี สว.ลากตั้ง เป็นข่าวไปถึงไหน อายชาวโลกเขาที่นั่น กระทั่งเผด็จการทหารพม่ายังไม่กล้าอ้างขนาดนี้

“การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ตามคำร้องนี้ เป็นการแก้กลับไปสู่จุดบกพร่องที่เคยเกิดขึ้นแล้วในอดีต เป็นจุดบกพร่องที่ล่อแหลม เสี่ยงต่อการสูญสิ้นศรัทธา และสามัคคีของมวลหมู่มหาชนชาวไทย เป็นความพยายามนำประเทศชาติให้ถอยหลังเข้าคลอง ทำให้วุฒิสภากลับไปเป็นสภาญาติพี่น้อง สภาของครอบครัว และสภาผัวเมีย สูญเสียสถานะ และศักยภาพแห่งการเป็นสติปัญญาให้แก่สภาผู้แทนราษฎร กลายเป็นเพียงเสียงสะท้อนของมวลชนกลุ่มเดียวกันทำลายสารสำคัญของการมี 2 สภา นำพาไปสู่การผูกขาดอำนาจรัฐ ตัดการมีส่วนร่วมของปวงประชาหลากสาขา หลายอาชีพ เป็นการกระทบต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันทรงมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเปิดช่องให้ผู้ร่วมกระทำการครั้งนี้ กลับมีโอกาสได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองด้วยวิธีการที่ไม่ได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้”

นี่สะท้อนทัศนะดูถูกประชาชนและไม่เป็นประชาธิปไตยทั้งหมด ทั้งดุ้น เป็นทัศนะเผด็จการ เอาหลักการประชาธิปไตยมาอ้างไม่ได้เลย อะไรคือประชาชนมีส่วนร่วม การลากตั้งโดยกรรมการสรรหา ที่มาจากสถาบันตุลาการ ที่ไม่มีความยึดโยงกับประชาชนเลย ประชาชนมีส่วนร่วมตรงไหน ประชาชนตรวจสอบได้หรือไม่

ที่อ้างว่าไม่ต้องการให้สภาผัวเมีย สภาครอบครัว สภาญาติพี่น้อง จำได้ไหมครับ สว.ลากตั้งชุดแรก มีแม่ “หมอท็อป” นางทิพวัลย์ สมุทรรักษ์ แม่ของ น.พ.บุรณรัชย์ สมุทรรักษ์ อดีตโฆษกพรรค ปชป.อยู่ด้วย หมอท็อปลง ส.ส.บัญชีรายชื่อ ตอนแรกไม่ได้เป็น ส.ส.พอได้เลื่อนขึ้นมา แม่หมอท็อปต้องลาออก

นี่หรือคณะกรรมการสรรหาผู้ทรงเกียรติ เลือกแม่ผู้สมัคร ส.ส.เข้ามา แต่ห้ามผัว เมีย ลูก สมัครรับเลือกตั้ง

ส.ส.ชุดปัจจุบันกับ ส.ว.มีคู่หนึ่งที่เป็นญาติกัน คือจุติ ไกรฤกษ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ปชป. กับพิกุลแก้ว ไกรฤกษ์ พี่สาวที่เป็น ส.ว.เลือกตั้งพิษณุโลก ถามว่าผิดไหม ก็ประชาชนเขาเลือกมา อำนาจเป็นของประชาชน

นี่สะท้อนทัศนะดูถูกประชาชนว่าไม่สามารถเลือกคนดีคนมีความสามารถ ดูถูกกระทั่งคนกรุงที่เคยเลือก 18 ส.ว. “คุณภาพ” ให้คนกรุงเลือก ส.ว.ได้คนเดียวเท่าระนอง เท่าแม่ฮ่องสอน แต่คนกรุงกลับไชโยโห่ร้อง ที่ตัวเองถูกศาลดูถูก


ทางตันสู่แตกหัก

คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญส่งผลทางการเมืองทั้งระยะเฉพาะหน้า และระยะต่อไป

ในระยะเฉพาะหน้า สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วคือ 40 สว.และพรรคประชาธิปัตย์ที่จัดม็อบล้มรัฐบาล ได้ฉวยคำวินิจฉัยศาลมาเป็นเครื่องมือ พร้อมกับอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์ มาโจมตีทางการเมือง ทั้งๆ ที่การต่อสู้ทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมา ทุกฝ่ายพยายามนำสถาบันสูงสุดออกไปจากความขัดแย้งแล้ว

แต่ตอนนี้ ขบวนการล้มรัฐบาลกำลังอ้างว่า นายกรัฐมนตรีกระทำการระคายเคืองเบื่องพระยุคลบาท ทั้งที่การทูลเกล้าฯ เป็นไปตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ เป็นหน้าที่ ซึ่งไม่อาจปฏิเสธได้

หากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่ทรงลงพระปรมาภิไธย เนื่องจากทรงเห็นว่าเกิดความขัดแย้งระหว่างรัฐสภากับศาลรัฐธรรมนูญ ขบวนการล้มรัฐบาล ก็จะอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์ มาดิสเครดิตรัฐบาลอีก

นี่คือเรื่องน่าเศร้า ที่ท้ายสุด สถาบันพระมหากษัตริย์ยังถูกดึงกลับมาอ้างสร้างความขัดแย้ง

มิพักต้องกล่าวถึงว่ากระแสล้มรัฐบาลจะต่อเนื่องทวีความรุนแรง มุ่งออกนอกระบอบ ทั้งๆ ทึ่ความผิดของรัฐสภา ของพรรคเพื่อไทย ในกรณีร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ควรเรียกร้องให้ยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชน ตามระบอบประชาธิปไตย แต่ม็อบล้มรัฐบาลไม่คิดเช่นนั้น ไม่คิดต่อสู้ตามวิถีทาง เพราะเชื่อว่า “อำนาจนอกระบบ” อยู่ข้างตน

คำวินิจฉัยของศาลที่ออกมาเช่นนี้ ยิ่งทำให้พวกเขาเชื่อมั่น และจะยิ่งเดินหน้าปลุกปั่นกันให้รุนแรง

ในขณะเดียวกัน คำวินิจฉัยนี้ ก็ทำให้พรรคเพื่อไทยและมวลชนเสื้อแดงเห็น “ทางตัน” ว่าไม่มีทางแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ ตราบใดที่ศาลรัฐธรรมนูญยังอ้างมาตรา 68 ต่อให้ชนะเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงล้นหลามเพียงไร ศาลก็ไม่ยอมให้แก้รัฐธรรมนูญ

ถึงแม้ว่าไม่ตัดสินยุบพรรค ถอดถอน 312 ส.ส. ส.ว.ก็อย่าดีใจไปนะครับ เพราะเท่ากับ “แช่แข็ง” ประชาธิปไตยอยู่ในสงครามเย็น ระหว่าง 2 ขั้วอำนาจ อำนาจจากเลือกตั้งกับ “อำมาตย์”

เมื่อไม่มีทางแก้ไขโครงสร้างอำนาจ เลือกตั้งชนะอย่างไรก็เปล่าประโยชน์ การต่อสู้กันด้วยมติมหาชนถูกปฏิเสธโดยศาล การต่อสู้กันด้วยความคิด ด้วยเหตุผล ด้วยบัตรเลือกตั้ง ไม่สามารถทำได้ ถามว่าถ้าอย่างนั้น การต่อสู้ช่วงชิงอำนาจจะต้องใช้วิธีอย่างไร

หรือจะให้สังคมไทยย้อนกลับไปสู่ยุคป่าเถื่อน ใช้กำลังเข้าต่อสู้กัน ใช้ปืน ใช้ดาบ ใช้อาวุธ ห้ำหั่นกัน เอาชนะกันด้วยวิธีสกปรก ด้วยการเล่นใต้ดิน หรือด้วยสงคราม เพราะการเอาชนะกันด้วยบัตรเลือกตั้งไม่มีความหมายแล้ว

ศาลรัฐธรรมนูญสถาปนาตัวเองอยู่เหนืออำนาจทุกอย่าง แม้แต่อำนาจอธิปไตยของปวงชน หนทางแก้ไขในระบอบประชาธิปไตยเหลืออย่างเดียวเท่านั้น คือรัฐสภาต้องลงมติแก้ไขรัฐธรรมนูญยุบศาลรัฐธรรมนูญทิ้งเสีย แล้วตั้งตุลาการพิทักษ์รัฐธรรมนูญขึ้นตามข้อเสนอนิติราษฎร์ โดยอาจใช้การยุบสภาเลือกตั้งใหม่ พร้อมลงประชามติ หรือเลือกตั้งใหม่ เปิดประชุมสภา แล้วยุบศาลรัฐธรรมนูญทันที

แต่ถ้าศาลรัฐธรรมนูญยับยั้งอีก ขัดขวางอีก ก็หมดหนทางแก้ไขปัญหาในระบอบประชาธิปไตย

                                                                                               ใบตองแห้ง
                                                                                               20 พ.ย.56
...............................
http://www.voicetv.co.th/blog/view/1670